แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 23
1
หมอประจำบ้าน: เอสแอลอี (SLE)

เอสแอลอี เป็นชื่อเรียกทับศัพท์ของอักษรย่อในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีคำเต็มว่า systemic lupus erythematosus

โรคนี้มักจะมีความผิดปกติของอวัยวะได้หลายระบบ (เช่น ผิวหนัง ข้อกระดูก ไต ปอด หัวใจ เลือด สมอง เป็นต้น) พร้อม ๆ กัน และอาจมีความรุนแรงทำให้พิการหรือตายได้

โรคนี้พบประปรายได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบมากในช่วงอายุ 20-45 ปี และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 10 เท่า

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีบางอย่าง ทำให้มีการสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเนื้อเยื่อต่าง ๆ จึงจัดเป็นโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune) เช่นเดียวกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

บางครั้งอาจพบมีสาเหตุกระตุ้นให้อาการกำเริบ เช่น ยาบางชนิด (เช่น ซัลฟา ไฮดราลาซีน เมทิลโดพา โปรเคนเอไมด์ ไอเอ็นเอช คลอร์โพรมาซีน ควินิดีน เฟนิโทอิน ไทโอยูราซิล) การถูกแดด การกระทบกระเทือนทางจิตใจ การตั้งครรภ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังสันนิษฐานว่า อาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง (เนื่องจากพบมากในหญิงวัยหลังมีประจำเดือน และก่อนวัยหมดประจำเดือน) และกรรมพันธุ์ (พบมากในคนที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้)

อาการ

ที่พบได้บ่อยคือ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อยตามตัว ปวดและบวมตามข้อต่าง ๆ ซึ่งโดยมากจะเป็นตามข้อเล็ก ๆ (เช่น ข้อนิ้วมือ นิ้วเท้า) ทั้ง 2 ข้างคล้าย ๆ กับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (แต่ต่างกันที่ไม่มีลักษณะหงิกงอ ข้อพิการ) ทำให้กำมือลำบาก

อาการเหล่านี้จะค่อยเป็นค่อยไปเป็นแรมเดือน

นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมักจะมีผื่นหรือฝ้าแดงขึ้นที่ข้างจมูกทั้ง 2 ข้าง ทำให้มีลักษณะเหมือนปีกผีเสื้อ เรียกว่า ผื่นปีกผีเสื้อ (butterfly rash)

บางรายมีอาการแพ้แดด คือ เวลาไปถูกแดด ผิวหนังจะมีผื่นแดงเกิดขึ้น และผื่นแดงที่ข้างจมูก (ผื่นปีกผีเสื้อ) จะเกิดขึ้นชัดเจน อาการไข้และปวดข้อจะเป็นรุนแรงขึ้น

บางรายอาจมีจุดแดง (petechiae) หรือมีประจำเดือนมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอาการระยะแรกของโรคนี้ก่อนมีอาการอื่น ๆ ให้เห็นชัดเจน บางครั้งแพทย์อาจวินิจฉัยว่าเป็นไอทีพี

บางรายอาจมีอาการหูอื้อ หูตึง ผมร่วงมาก มีจ้ำแดง ๆ ขึ้นที่ฝ่ามือ นิ้วมือนิ้วเท้าซีดขาวและเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเวลาถูกความเย็น (Raynaud’s phenomenon) หรือมีภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอาการบวมทั้งตัว (จากไตอักเสบ) หายใจหอบ (จากปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด หรือหัวใจวาย) ชีพจรเต้นเร็วหรือไม่เป็นจังหวะ (จากหัวใจอักเสบ)

ในรายที่มีการอักเสบของหลอดเลือดในสมอง อาจทำให้มีอาการทางประสาท เช่น เสียสติ ซึม เพ้อ ประสาทหลอน แขนขาอ่อนแรง ตาเหล่ ชัก หมดสติ และอาจตายภายใน 3-4 สัปดาห์

ส่วนมากจะมีอาการกำเริบ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นปี ๆ

ภาวะแทรกซ้อน

อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่าง ๆ อาทิ

    ไต เช่น ไตอักเสบ ไตวาย
    ปอด เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ ปอดอักเสบ เลือดออกในปอด ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion)
    หัวใจ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardial effusion) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจวาย
    เลือดและหลอดเลือด เช่น โลหิตจาง เลือดออกง่าย หลอดเลือดอักเสบ ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง
    สมองและระบบประสาท เช่น สมองอักเสบ (ทำให้มีอาการชัก สับสน โรคจิต) โรคลมอัมพาต (สโตร๊ก) จากลิ่มเลือดอุดตันในสมอง ความจำเสื่อม ภาวะซึมเศร้า ไขสันหลังอักเสบ
    กระดูก เช่น กระดูกพรุน กระดูกหัก ซึ่งเป็นแทรกซ้อนจากตัวโรคเองและการใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษา
    การติดเชื้อ เช่น โรคติดเชื้อของผิวหนัง ทางเดินหายใจ และทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำจากตัวโรคและการใช้ยากดภูมิคุ้มกันในการรักษา
    มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผู้ที่เป็นโรคนี้ยังอาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าคนทั่วไป
    หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้ อาจมีอาการกำเริบมากขึ้น และเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ภาวะครรภ์เป็นพิษ ทารกคลอดก่อนกำหนด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในรายที่มีอาการเล็กน้อย ในระยะแรกอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

ระยะต่อมาจะพบไข้ ผื่นปีกผีเสื้อที่แก้ม ข้อนิ้วมือนิ้วเท้าบวมแดง ผมร่วงผมบาง อาจคลำพบต่อมน้ำเหลืองโต ตับ ม้ามโต

นอกจากนี้อาจพบอาการอื่น ๆ เช่น จุดแดงจ้ำเขียวตามตัว ลมพิษ ภาวะซีด ตาเหลือง (ดีซ่าน) บวม ชีพจรเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หายใจหอบเร็ว เป็นต้น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด อาจพบว่ามีภาวะโลหิตจาง จำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ ค่าอีเอสอาร์ (ESR) สูง พบแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (antinuclear antibody/ANA)

ตรวจเลือดดูการทำงานของตับและไต อาจพบว่าผิดปกติ

ตรวจปัสสาวะอาจพบสารไข่ขาวและเม็ดเลือดแดง

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจเอกซเรย์ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจพิเศษอื่น ๆ

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจชิ้นเนื้อผิวหนังและไต

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ในรายที่เป็นไม่รุนแรง (เช่น มีไข้ ปวดข้อ มีผื่นแดงขึ้นที่หน้า) อาจเริ่มให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก ไพร็อกซิแคม นาโพรเซน) ถ้าไม่ได้ผลอาจให้ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) เพื่อช่วยลดอาการเหล่านี้

ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะให้สเตียรอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน ติดต่อกันเป็นสัปดาห์หรือหลายเดือน เพื่อลดการอักเสบของอวัยวะต่าง ๆ เมื่อดีขึ้นจึงค่อย ๆ ลดยาลง และให้ในขนาดต่ำควบคุมอาการไปเรื่อย ๆ อาจนานเป็นแรมปี หรือจนกว่าจะเห็นว่าปลอดภัย ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องให้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น เมโทเทรกเซต (methotrexate), ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide), อะซาไทโอพรีน (azathioprine), ไมโคฟีโนเลตโมเฟทิ (mycophenolate mofeti) เป็นต้น บางรายที่ดื้อต่อยากลุ่มอื่น แพทย์อาจให้ยากลุ่มใหม่ เช่น ไรทูซิแมบ (rituximab), เบลิมูแมบ (belimumab)

นอกจากนี้ อาจให้ยารักษาตามอาการและภาวะที่พบ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ ยาบำรุงโลหิต (ถ้าซีด) ยาปฏิชีวนะ (ถ้ามีการติดเชื้อ) เป็นต้น

ผลการรักษา ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและตัวผู้ป่วย บางรายอาจมีโรคแทรกซ้อน และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในเวลาไม่นาน

บางรายอาจมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว ถ้าผู้ป่วยสามารถมีชีวิตรอดจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้เกิน 5 ปี โรคก็จะไม่กำเริบรุนแรง และค่อย ๆ สงบไปได้ นาน ๆ ครั้งอาจมีอาการกำเริบ แต่อาการมักจะไม่รุนแรง และผู้ป่วยสามารถมีชีวิตเยี่ยงคนปกติได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้เรื้อรัง (นานเกิน 7 วัน) ปวดบวมตามข้อนิ้วมือและกำมือลำบาก มีผื่นหรือฝ้าแดงที่ข้างจมูก จุดแดงตามผิวหนัง หน้าตาซีด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเอสแอลอี ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2. ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

3. ควรปฏิบัติตัว ดังนี้

    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    หาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ ฝึกโยคะ รำมวยจีน เป็นต้น
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เป็นต้น ควรออกกำลังแต่พอประมาณ อย่าให้หนักเกินไป
    บำรุงร่างกายด้วยอาหารสุขภาพ กินอาหารครบ 5 หมู่อย่างถูกสัดส่วนตามหลักธงโภชนาการ
    หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด เพราะจะกระตุ้นให้ผื่นที่ผิวหนังกำเริบมากขึ้น ถ้าจำเป็นต้องอยู่กลางแจ้ง ควรกางร่ม สวมหมวก หรือใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว
    งดบุหรี่ เพื่อสุขภาพและป้องกันโรคแทรกซ้อนทางปอด หัวใจและหลอดเลือด
    งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน และการมีปฏิกิริยากับยาที่รักษา
    ถ้ามีโอกาส ควรเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มมิตรภาพบำบัดสำหรับกลุ่มผู้ป่วยโรคนี้ เพื่อเรียนรู้และดูแลช่วยเหลือ เสริมกำลังใจกัน
    ผู้ป่วยมักมีภูมิคุ้มกันต่ำ ควรพยายามหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เช่น อย่ากินอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด อย่าเข้าใกล้คนที่ไม่สบาย อย่าเข้าไปในที่ที่มีคนแออัด เป็นต้น
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง เพราะอาจมีผลทำให้โรคกำเริบ หรือเกิดปฏิกิริยาด้านลบกับยาที่ใช้รักษาอยู่ก่อน
    สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้โรคกำเริบมากขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อผู้ป่วยและทารกในครรภ์ได้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการคุมกำเนิด จนกว่าโรคเข้าสู่ระยะสงบ และแพทย์เห็นว่าสามารถตั้งครรภ์ได้

4. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบาย เช่น มีไข้สูง ปวดท้องมาก ท้องเดินมาก อาเจียนมาก เจ็บหน้าอก บวม หน้าตาซีด อ่อนเพลีย แขนขาชาหรืออ่อนแรง เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรหาทางป้องกันไม่ให้โรคกลายเป็นรุนแรงด้วยการดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้สามารถแสดงอาการได้หลายแบบ เช่น มีไข้เรื้อรังคล้ายมาลาเรีย เอดส์ วัณโรค มีจุดแดงขึ้นคล้ายไอทีพี บวมคล้ายโรคไตเนโฟรติก ชักหรือหมดสติคล้ายสมองอักเสบ เสียสติ เพ้อคลั่งคล้ายคนวิกลจริต เป็นต้น ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นอาการของระบบใดโดยไม่ทราบสาเหตุควรนึกถึงโรคนี้ไว้เสมอ

2. โรคนี้ถึงแม้จะมีความรุนแรง แต่ถ้าติดต่อรักษากับแพทย์เป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และมีชีวิตยืนยาวได้

2
เที่ยวไทย นิทรรศการ ไดโนเสาร์ 2568 Thainosaur ท่าพิพิธภัณฑ์ ที่ ท่าช้าง วังหลัง สุดตื่นเต้น

กรกฎาคม 2568 นี้ ชวนกันไปตื่นตาตื่นใจกับ โลกแห่งไดโนเสาร์ ใน นิทรรศการ ไดโนเสาร์ พันธุ์ไทย "Thainosaur" ไทยโนซอร์ 2568 นิทรรศการสุดยิ่งใหญ่ ที่ รวมไดโนเสาร์ และสัตว์ดึกดำบรรพ์สายพันธุ์ไทย ไว้ครบที่สุด ตามไปผจญภัยกันได้ที่ ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) โครงการท่าช้าง วังหลัง วันที่ 1 กรกฎาคม - 2 พฤศจิกายน 2568 นี้ได้เลย!

     คนรักไดโนเสาร์ Dino-Lovers เตรียมตัวมาตื่นเต้นกับจินตนาการสุดอะเมซิ่งใจใน "Thainosaur" ไทยโนซอร์ นิทรรศการไดโนเสาร์พันธุ์ไทย ที่รวบรวมไดโนเสาร์ซึ่งเคยโลดแล่นบนแผ่นดินสยาม มาไว้แบบครบเครื่องที่สุด!

      พร้อมเปิดประตูต้อนรับทุกคนเข้าสู่โลกล้านปี ให้มาผจญภัยในโลกของไดโนเสาร์ และสัตว์ดึกดำบรรพ์ในเมืองไท ที่จะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปสู่แผ่นดินสยามเมื่อหลายล้านปีก่อนอย่างน่าตื่นเต้น!

     ในทุกย่างก้าวของงานราวกับได้ย้อนเวลากลับไปใน ยุคทองของไดโนเสาร์ครองโลก เราจะได้สัมผัสกับประสบการณ์สุดมหัศจรรย์ใน โลกดึกดำบรรพ์ ชนิดที่แฟนพันธุ์แท้ไดโนเสาร์ และสัตว์ดึกดำบรรพ์ไม่ควรพลาดเลยทีเดียวค่ะ

นิทรรศการ THAINOSAUR ไม่ได้เพียงแค่การจัดแสดงซากดึกดำบรรพ์ และร่องรอยบรรพชีวินเท่านั้น แต่คือผลพวงจากความฝันและความหลงใหลที่มีต่อโลกดึกดำบรรพ์ของ "คุณพิริยะ วัชจิตพันธ์" ผู้ก่อตั้งท่าพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งยังเป็นนักสะสมผลงานศิลปะและนักสะสมซากฟอสซิลตัวยงของไทย

      จากความหลงใหลใน ซากฟอสซิลไดโนเสาร์ และ สัตว์ดึกดำบรรพ์ ผลักดันให้เขาศึกษา ค้นคว้า และออกเดินทางไปตามงาน Fossil Fairs ต่างๆ ทั่วอเมริกา เพื่อตามหาสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ เป็นผลงานที่เกิดจากความทุ่มเท และความปรารถนาที่จะจุดประกายความสนใจในวิทยาศาสตร์ และมรดกทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่แก่คนทุกเพศทุกวัย ให้เข้ามาสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของโลกดึกดำบรรพ์ และร่วมภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์อันยาวนานของผืนแผ่นดินไทยนั่นเอง
ไฮไลท์ภายในงาน

Thainosaur นิทรรศการที่รวบรวมเรื่องราวของไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่ขุดค้นพบในเมืองไทย  จัดแสดง "มหายุคพาลีโอโซอิก" (Paleozoic Era) มหายุคก่อนไดโนเสาร์จะครองโลก

 "มหายุคมีโซโซอิก" (Mesozoic Era) หรือ ยุคทองของไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ คือ

    🍀 ยุคไทรแอสซิก (Triassic Period)
    🍀 ยุคจูแรสซิก (Jurassic Period)
    🍀 ยุคครีเทเชียส (Cretaceous Period)

      ไปจนถึง "มหายุคซีโนโซอิก" (Cenozoic Era) ยุคที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมท่องตระเวนไปทั่วประเทศไทย พร้อมนำเสนอข้อมูลบรรพชีวินที่ครบถ้วนและถูกต้องที่สุด ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน มาสัมผัสความพิเศษกันได้เลยค่ะ

     โดยเรื่องราวไดโนเสาร์ที่น่าสนใจทั้งหมดจัดแสดงในอาคาร 3 ชั้นของ ท่าพิพิธภัณฑ์ เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวตล้านปี โดยแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ เริ่มจาก
ชั้น 1 จัดแสดง "มหายุคพาลีโอโซอิก" (Paleozoic Era)

       รวมสัตว์ดึกดำบรรพ์อายุเก่าแก่กว่าไดโนเสาร์ และ "ยุคไทรแอสซิก" (Triassic Period) ช่วงเวลาที่ ไดโนเสาร์ซอโรพอด อย่าง อีสานโนซอรัส ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกบนโลก
ชั้น 2 จัดแสดงยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของไดโนเสาร์คือ "ยุคจูแรสซิก" (Jurassic Period)

      ยุคจูแรสซิก เป็นยุคที่มี ไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ และ "ชาละวัน ไทยแลนดิคัส" (Chalawan thailandicus) พญาจระเข้ขนาด 8 เมตร และ "ยุคครีเทเชียส" (Cretaceous Period) ซึ่งรวมไดโนเสาร์ที่มีชื่อเสียงของไทย ทั้ง สยามโมไทรันนัส, ภูเวียงโกซอรัส, กินรีไมมัส รวมไปถึง สยามโมซอรัส
ชั้น 3 จัดแสดง โครงกระดูกไดโนเสาร์จริง และ จำลอง ช่วงเวลาสุดท้ายของไดโนเสาร์ไทย

      ไฮไลท์อยู่ที่โครงกระดูก ภูเวียงโกซอรัส และ สยามแรพเตอร์ รวมถึงไดโนเสาร์กินพืชที่เรารวบรวมมาได้ เพื่อบอกเล่ายุคสุดท้ายก่อนการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของไดโนเสาร์
ชีวิตดึกดำบรรพ์ ใน แอนิเมชันสมจริง

      ทุกคนมาก้าวข้ามขีดจำกัดของตำราเรียน และฟอสซิลที่เคยหยุดนิ่ง ผ่าน นิทรรศการ THAINOSAUR ที่บอกเล่าเรื่องราวของเพื่อนตัวยักษ์นี้โดยการใช้เทคโนโลยีแอนิเมชัน เพื่อจำลองภาพเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของไดโนเสาร์พันธุ์ไทย

      ซึ่งทั้งหมดได้อ้างอิงจากหลักฐานทางบรรพชีวินวิทยาที่แม่นยำ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์ นักธรณีวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านแอนิเมชันของไทย เพื่อสร้างเหล่าไดโนเสาร์เสมือนจริงขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ เหมือนพวกมันกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ละเอียดทุกผิวสัมผัส สมจริงทุกการเคลื่อนไหว สุดประทับใจมากๆ เลยทีเดียว!
สุดจึ้ง! ไดโนเสาร์จำลองขนาดเท่าจริง

      นอกจากนี้ หัวใจสำคัญของนิทรรศการคือ การจัดแสดงหุ่นจำลองขนาดเท่าจริง (Life-sized Model) ของไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบในประเทศไทย ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นจากการศึกษาข้อมูลงานวิจัยทางบรรพชีวินวิทยาล่าสุดอย่างละเอียด

      ทุกชิ้นถูกปั้นและลงสีด้วยความประณีตสูงสุด เพื่อเก็บรายละเอียดทางกายภาพ ทั้งพื้นผิวหนัง กล้ามเนื้อ และร่องรอยบาดแผล ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จริงๆ ถือเป็นการนำเสนอหุ่นจำลองไดโนเสาร์พันธุ์ไทยที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและสมจริงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อให้เราได้มาสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตยุคล้านปีอย่างใกล้ชิด

ไดโนเสาร์จำลองขนาดเท่าจริง Thainosaur

แฟนพันธุ์แท้ ไดโนเสาร์ ทำไมต้องมางานนี้ ?


1. ซากดึกดำบรรพ์ของแท้ และเสมือนจริงที่สุด

     ชมความยิ่งใหญ่ของ โครงกระดูกไดโนเสาร์ของจริง ที่ขุดค้นพบในประเทศไทย และหาชมยาก ทั้งซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ กระดูกไดโนเสาร์จริง และโครงสร้างจำลองที่ถอดแบบด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยให้สมจริงที่สุด เพื่อให้เราได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตยุคล้านปีอย่างใกล้ชิด


2. แอนิเมชันสุดล้ำ

     ตื่นตาตื่นใจไปกับ แอนิเมชันที่สร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักฐานทางบรรพชีวินวิทยาที่แม่นยำ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์ นักธรณีวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านแอนิเมชันของไทย รวมไปถึงเหล่าไดโนเสาร์เสมือนจริงที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ เหมือนพวกมันกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ละเอียดทุกผิวสัมผัส สมจริงทุกการเคลื่อนไหว


3. คลังความรู้แน่น

       เรียนรู้เรื่องราวของไดโนเสาร์สายพันธุ์ไทยแต่ละชนิด ตั้งแต่ สยามโมไทรันนัส ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน อิสานโนซอรัส และสัตว์ดึกดำบรรพ์อีกมากมาย ที่เดียวครบทั้งความสนุกและความรู้กลับบ้านแบบเต็มๆ

ค่าบัตรเข้าชม นิทรรศการ Thainosaur

🦖 คนไทย :

    เด็ก 150 บาท
    ผู้ใหญ่ 250 บาท

🦕 ชาวต่างชาติ :

    เด็ก 250 บาท
    ผู้ใหญ่ 350 บาท

    ⏰จัดแสดง : วันที่ 1 กรกฎาคม - 2 พฤศจิกายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.
    📍สถานที่ : ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) โครงการท่าช้าง วังหลัง

3
อาการของโรคกล่องเสียงอักเสบ (Laryngitis)

กล่องเสียง (larynx) เป็นส่วนที่อยู่ถัดลงไปจากคอหอย (pharynx) และอยู่ตรงส่วนบนของท่อลม (trachea)

การอักเสบของกล่องเสียงเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย ส่วนมากจะไม่มีอาการรุนแรงและหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์


สาเหตุ

การอักเสบของกล่องเสียงมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมากจะเกิดร่วมกับไข้หวัด เจ็บคอ หรือหลอดลมอักเสบ ส่วนน้อยที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

บางครั้งอาจเกิดจากการระคายเคือง เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้เสียงมาก (เช่น ร้องเพลง สอนหนังสือ เป็นต้น) หรือเกิดจากการระคายเคืองจากน้ำย่อยในผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน


อาการ

ที่สำคัญ คือเสียงแหบแห้ง บางรายอาจเป็นมากจนไม่มีเสียง อาจรู้สึกเจ็บคอเวลาพูด

บางรายอาจมีอาการไข้ เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอร่วมด้วย

โดยทั่วไป มักเป็นอยู่ไม่เกิน 7 วัน ถ้าเกิดจากการระคายเคืองมักมีอาการเสียงแหบเรื้อรัง


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากมักหายได้เอง ส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดเชื้อที่พบร่วม อาจทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อ อาจตรวจพบมีไข้ น้ำมูกไหล หรือคอแดงร่วมด้วย

บางรายอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เกิดจากการระคายเคือง

ในรายที่มีอาการเรื้อรัง หรือสงสัยมีความผิดปกติของกล่องเสียงหรือโรคกรดไหลย้อน แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจกล่องเสียง (laryngoscopy) ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร (gastroscopy)


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ

2. เฉพาะในรายที่สงสัยจะมีการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น มีเสมหะเหลืองหรือเขียว หรือคอแดงจัด ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน โคอะม็อกซิคลาฟ อีริโทรไมซิน หรือร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น)

3. ถ้ามีอาการหอบ แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจมีสาเหตุจากคอตีบ หรือครู้ป

4. ถ้าเสียงแหบเป็นอยู่นานกว่า 3 สัปดาห์ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุให้แน่ชัด และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์

ถ้าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ก็มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบแทรกซ้อน


การดูแลตนเอง

ในรายที่มีเสียงแหบ โดยที่สุขภาพทั่วไปดี กินอาหารและทำงานได้เป็นปกติ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    พักการใช้เสียง ควรหยุดพูดรวมทั้งการกระซิบ จนกว่าอาการจะดีขึ้น
    งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ วันละ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร)
    สูดดมไอน้ำอุ่นบ่อย ๆ
    ถ้ามีไข้ กินยาลดไข้-พาราเซตามอล*

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้เกิน 4 วัน ไข้สูงตลอดเวลา หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวทุกครั้งนานเกิน 24 ชั่วโมง
    มีอาการเจ็บคอมาก หรือหายใจลำบาก
    คลำได้ก้อนที่ข้างคอ
    มีอาการเสียงแหบนานเกิน 3 สัปดาห์
    ดูแลตนเอง 1 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้น
    มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก
    มีประวัติการแพ้ยา หรือหลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

ควรหาทางป้องกันตามสาเหตุที่ทำให้เสียงแหบ อาทิ

    พักการใช้เสียง ในรายที่เกิดจากการใช้เสียงมาก
    งดบุหรี่/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าเป็นสาเหตุของอาการเสียงแหบ
    ในรายที่เกิดจากไข้หวัด ก็หาทางป้องกันไม่ให้เป็นหวัด
    ในรายที่เกิดจากโรคกรดไหลย้อน ควรดูแลรักษาโรคนี้ไม่ให้กำเริบบ่อย (ดู “โรคกรดไหลย้อน”)

ข้อแนะนำ

1. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

2. อาการเสียงแหบมักพบในผู้ที่เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอ ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด และผู้ที่ใช้เสียงมาก (เช่น ครู นักเทศน์ นักร้อง เป็นต้น) โดยมากจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วัน เมื่อได้รับการดูรักษาแล้ว เสียงควรจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

แต่ถ้าพบว่ามีอาการเสียงแหบติดต่อกันนานกว่า 3 สัปดาห์ ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น

    ปุ่มเนื้อของสายเสียง (vocal cord nodules) เป็นปุ่มเนื้องอกเล็ก ๆ ที่เติบโตจากเซลล์เยื่อบุผิว (epithelium) ของสายเสียง มีสาเหตุมาจากการใช้เสียงมากเกิน เช่น ครู นักเทศน์ นักร้อง เป็นต้น การพักใช้เสียงเป็นเวลาหลายสัปดาห์อาจทำให้ปุ่มยุบหายไปได้เอง ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องตัดออก ผู้ที่เป็นโรคนี้แพทย์จะฝึกการใช้เสียง (voice therapy) ให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้เป็นซ้ำอีก
    ติ่งเนื้อเมือกของสายเสียง (vocal cord polyps) เป็นเนื้องอกของเซลล์เยื่อเมือก (mucous membranes) ของสายเสียง เกิดจากภาวะภูมิแพ้ หรือการระคายเคืองเรื้อรัง (เช่น สูบบุหรี่) มักต้องรักษาด้วยการผ่าตัดติ่งเนื้อออกไป
    หูดกล่องเสียง (laryngeal papillomatosis) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า human papillomavirus (HPV) ทำให้เกิดเนื้องอก (หูด) ตรงสายเสียงและกล่องเสียง ทำให้มีเสียงแหบเรื้อรัง ถ้าก้อนโตอาจอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และจะหายได้เองเมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว มักจะต้องรักษาด้วยการตัดออก
    โรคกรดไหลย้อน ทำให้มีอาการเจ็บคอเสียงแหบ หรือไอเรื้อรัง มักเป็นมากหลังตื่นนอน (ดู “โรคกรดไหลย้อน”)
    แผลสายเสียง (contact ulcer of vocal cord) พบในผู้ที่ใช้เสียงมากเกิน สูบบุหรี่ ไอเรื้อรัง หรือผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ทำให้มีอาการเสียงแหบ เจ็บเวลาพูดหรือกลืน ให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น ถ้าเกิดจากการใช้เสียง ต้องพักการใช้เสียงนาน 6 สัปดาห์ และฝึกการใช้เสียงให้ถูกต้อง ถ้าเกิดจากโรคกรดไหลย้อนก็ต้องให้ยาลดการสร้างกรด เป็นต้น
    มะเร็งกล่องเสียง พบมากในผู้ชายสูงอายุที่มีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน
    สายเสียงเป็นอัมพาต (vocal cord paralysis) อาจเกิดจากโรคทางสมอง (เช่น เนื้องอกสมอง อัมพาต) หรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ โดยตัดถูกเส้นประสาท (laryngeal nerve) ที่ควบคุมการทำงานของสายเสียง ซึ่งมักจะทำให้เกิดอาการเสียงแหบอย่างถาวร
    วัณโรคกล่องเสียง (tuberculous laryngitis) ทำให้มีอาการเสียงแหบเรื้อรัง อาจมีอาการของวัณโรค (เช่น ไข้เรื้อรัง ไอเรื้อรัง น้ำหนักลด) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

4
การเล่นกีฬา ในระหว่างการจัดฟันเด็ก สามารถทำได้หรือไม่

อย่างที่หลายๆท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า ในยุคสมัยนี้มีนวัตกรรมทางทันตกรรมที่ล้ำสมัย โดยมีชื่อว่า EF Line อุปกรณ์สำคัญในการจัดฟันในเด็กเล็ก ซึ่งได้ผลดีเกินคาด และได้รับการรองรับจากทันตแพทย์ทั่วโลกว่า เหมาะสมสำหรับเด็ก ลบความเชื่อผิดๆที่ว่าเด็กเล็กไม่ควรจัดฟันได้อย่างสิ้นเชิงซึ่งก็ได้นำนวัตกรรมล้ำสมัยนี้มาใช้ กับเด็กเล้กที่มีอาการผิดปกติทางด้านโครงสร้างกระดูกขากรรไกรที่เป็นต้นเหตุหลักทำให้ใบหน้าผิดรูป รวมถึงการสบฟันผิดปกติในเด็กเล็ก ไม่เว้นแม้แต่พฤติกรรมที่ทำให้เด็กมีปัญหาเรื่องสุขภาพช่องปากในอนาคตอีกด้วยแต่ก็ต้องขอบอกก่อนว่าเด็กเล็กๆ มักจะมีการต่อต้าน อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line มากพอสมควร ซึ่งอยากให้ผู้ปกครองอย่าถอดใจและทำความเข้าใจในพฤติกรรม และแข็งใจให้บุตรหลานของท่านใส่ให้ได้ โดยรายละเอียดวิธีการใช้และแก้ปัญหามีดังต่อไปนี้
 
กฎสำคัญในการใส่ EF Line ในเด็กเล็ก

– สิ่งสำคัญที่สุดในการให้บุตรหลานของท่านใส่ EF Line คือ บุตรหลานของท่านต้องมีอายุ 4 ปี ขึ้นไป แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในอุปกรณืชิ้นนี้คือใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำหว่า 14 ปี
– ก่อนที่จะทำการใช้ อุปกรณ์ทันตกรรม EF Line ควรได้รับการวินิจฉัยจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อมาใส่เอง เพราะ อุปกรณ์ EF Line จะถูกผลิตขึ้นมาใหม่ทุกครั้งเพื่อรับกับช่องปากและฟันของคนนั้นเท่านั้น และจะมีการวางรูปแบบในระยะยาว จึงไม่สามารถหาซื้อมาใส่เองหรือทำกับผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาในด้านนี้เฉพาะได้
– ในขณะที่ใช้อุปกรณ์ EF Line จะต้องอยู่ในการดูแลของทันตแพทย์อย่างใกล้ชิดโดยตลอด มาตามนัดทันตแพทย์ผู้รักษาอย่าให้ขาด เพื่อจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพสูงที่สุดนั่นเอง


คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ EF Line

ต้องขอบอกเลยว่า เด็กเล็กๆหลายๆคนมีปัญหาในการใส่ EF Line เนื่องจากว่าในขณะที่ทำการใส่แรกๆนั้น จะเกิดความไม่เคยชินเนื่องจากว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในช่องปาก อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในบางตำแหน่ง และอาจจะเกิดบาดแผลเล็กๆได้ ซึ่งหากว่ามีบาดแผลในช่องปากให้ทำการทายาสำหรับช่องปาก ซึ่งอาจจะมีอาการเจ็บบ้างในระยะแรกๆ แต่ไม่นานแผลเหล่านั้น และอาการระคายเคืองจะหมดไปเนื่องจากร่างกายจะปรับตัวตามธรรมชาติ หรือพยายามให้เด็กเล็กที่ใส่อุปกรณ์ EF Line ดื่มน้ำเยอะๆในขณะใส่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นภายในช่องปากก็สามารถลดการระคายเคืองได้ดีเช่นกัน
อีกสิ่งสำคัญที่มักจะทำให้ผู้ปกครองตกใจและให้บุตรหลานเลิกใส่นั่นก็คือ เมื่อทำการใส่ EF Line เด็กเล็กๆจะเริ่มมีอาการอยากอาเจียน บางคนถึงขั้นอาเจียนทุกครั้งเมื่อทำการใส่ ซึ่งถึงจะเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองพยายามแข็งใจบังคับตนเองให้ใส่ EF Line ให้บุตรหลานให้ได้ เพราะ เมื่อใส่ไประยะหนึ่งจะเกิดความเคยชินและก็จะไม่เกิดอาการอยากอาเจียนอีก
หากต้องทำการใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ให้เด็กเล็กๆ ผู้ปกครองควรเชื่อฟันคำแนะนำจากทันตแพทย์ ใจแข็ง ให้นึกไว้เสมอว่าหากไม่ให้บุตรหลานใส่อนาคตอาจจะต้องเสียใจเพราะบุตรหลานของท่านอาจมีฟันและโครงหน้าที่ผิดปกติและจะทำให้เกิดการรักษายากขึ้นมากตามอายุนั่นเอง
 
วิธีใส่ EF Line ที่ถูกต้อง

– กลางวัน
การใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ในช่วงเวลากลางวัน หรือตอนตื่นนอน ควรเลือกเวลาให้ใส่ติดปากห้ามถอดออกเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่ใส่นี้ผู้ปกครองควรสังเกตพยายามให้บุตรหลานอยู่นิ่งๆ ไม่เอานิ้วเข้าปาก ไม่เคี้ยวอุปกรณ์เล่น ปิดปากให้สนิทไม่พูดคุยในขณะที่ทำการใส่อยู่เพื่อเป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบปาก
– กลางคืน
ในเวลากลางคืนนี้ถือได้ว่าไม่ยุ่งยาก เนื่องจากว่าให้ใส่ก่อนจะเข้านอน โดยต้องทำการใส่ติดปากห้ามถอดในขณะนอนหลับ เป็นระยะเวลา 10 ชั่วโมง
 
ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องที่ควรรู้ในการให้บุตรหลานหรือเด็กเล็กๆใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line โดยผู้ปกครองจะต้องใจแข็งและตั้งใจไปกับบุตรหลานของท่านด้วย เพียงเท่านี้อาการผิดปกติในช่องปากต่างๆก็จะกลับมาเป็นปกติอันรวดเร็วตามระเบียบของเด็กและผู้ปกครองด้วย

5
บริการทำความสะอาด: ทำความสะอาดห้องน้ำให้ปิ๊ง แบบเจาะลึกทุกขั้นตอน

วิธีทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาดน่าใช้ไปทุกตารางนิ้วเจาะลึกทุกขั้นตอนทำความสะอาดห้องน้ำที่ต้องให้สิบคะแนนเต็ม
ลองมาทำความสะอาดห้องน้ำตามนี้เพื่อพิสูจน์ความเก๋ากันค่ะ

เคยไหมคะที่ยอมทนอั้นปัสสาวะจนแทบจะเป็นนิ่วในนาทีนั้น เพียงเพราะรับไม่ได้กับสภาพห้องน้ำที่สกปรกสุด ๆ
แถมยังส่งกลิ่นเหม็นตุออกมาไม่หยุดหย่อน เจอสภาพห้องน้ำแบบนี้เข้าไปเป็นใครก็คงส่ายหน้าหนีกันหมดล่ะเนอะยิ่งถ้าเป็นห้องน้ำในบ้านแล้วแขกมาเจอสภาพห้องน้ำที่สกปรกสุดยี้เข้าละก็งานนี้คงได้ขายหน้ากันทั้งบ้านแน่ ๆ

เอาล่ะ ! ถ้าอย่างนั้นมาทำความสะอาดห้องน้ำด้วยเคล็ดลับแบบเจาะลึกทุกขั้นตอนดีกว่ารับรองว่าไม่มีพื้นที่ในห้องน้ำหลุดรอดหนีความสะอาดไปได้สักตารางนิ้วชัวร์

 1. นำผ้าเช็ดเท้าไปซัก

ผ้าเช็ดเท้าที่วางอยู่หน้าห้องน้ำ รวมทั้งผ้าเช็ดมือ และผ้าม่านที่ประดับอยู่คงสะสมเชื้อโรคและฝุ่นไรจำนวนไม่น้อย ดังนั้นก่อนจัดการล้างห้องน้ำควรปลดม่าน ผ้าเช็ดมือ และนำผ้าเช็ดเท้าไปซักทำความสะอาดให้เรียบร้อยด้วย

 2. ย้ายทุกไอเทมออกมาจากห้องน้ำ

ขั้นต่อมาให้ย้ายของทุกอย่างออกจากห้องน้ำให้หมดทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายและของตกแต่งกระจุกกระจิกรวมไปถึงการตกแต่งบางอย่างที่สามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้ก็ต้องเก็บไม่ให้เหลือสักชิ้นเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้โล่งที่สุดก่อนจัดการทำความสะอาดนะจ๊ะ

 3. ละเลงน้ำยาทำความสะอาดในโถสุขภัณฑ์

จัดการราดน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำลงในโถส้วมให้ทั่วถึงอย่าลืมเปิดพัดลมดูดอากาศหรืออย่างน้อยก็ต้องเปิดประตูและหน้าต่างห้องน้ำเพื่อระบายอากาศและปิดฝาชักโครกด้วย ทว่าหากใครไม่อยากเสี่ยงกับสารเคมีอันตรายจะลองผสมผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำส้มสายชูและน้ำเปล่าในอัตราส่วน 75/25ก็ทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ได้เจ๋งแจ๋วไม่แพ้น้ำยาความสะอาดเลย

 4. ปัดหยากไย่ ไล่ฝุ่น

ความสะอาดของห้องน้ำไม่ได้เปล่งประกายจากพื้นห้องน้ำหรือสุขภัณฑ์ต่าง ๆ เท่านั้นแต่ฝ้าเพดานและผนังห้องน้ำก็มองข้ามไม่ได้เลยดังนั้นเรามาใช้ไม้กวาดหยากไย่ไล่กวาดไปตามฝ้าเพดานให้ทั่วโดยไล่กวาดตั้งแต่ด้านบนลงมาด้านล่างกันเถอะ

 5. ขัดกระจกและผนังห้อง

ถัดจากฝ้าเพดานแล้วก็มาต่อด้วยกระจกห้องน้ำ โดยเช็ดกระจกด้วยน้ำยาเช็ดกระจกกับกระดาษหนังสือพิมพ์ส่วนผนังก็ถูด้วยแปรงขัด แต่หากเป็นผนังที่ติดวอลเปเปอร์ให้หุ้มแปรงขัดด้วยผ้าชุบน้ำผืนหนา แล้วค่อยเช็ดถูผนังให้สะอาดสำหรับคราบหนักควรใช้น้ำยาความสะอาดร่วมด้วยนะ

 6. ล้างอ่างและบริเวณเคาน์เตอร์

ผสมน้ำสบู่กับน้ำอุ่นแล้วใช้แปรงสีฟันอันเก่ามาขัดตามซอกกระเบื้องบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้ารวมทั้งพื้นที่แคบตรงอ่างล้างหน้าและก๊อกน้ำด้วย แต่หากคราบสกปรกฝังแน่นอาจต้องใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำส้มสายชูให้พอเป็นเนื้อข้นเหนียวมาป้ายคราบสกปรกทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นค่อยใช้แปรงสีฟันขัดอีกครั้งแต่สำหรับพื้นที่ของอ่างล้างหน้าและกระเบื้องเคาน์เตอร์สามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดและฟองน้ำขัดถูได้เลย

 7. ทำความสะอาดด้านนอกโถสุขภัณฑ์

เริ่มจากฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อหรือน้ำยาขจัดคราบอเนกประสงค์ลงไปให้ทั่วบริเวณด้านอนโถสุขภัณฑ์แล้วใช้ฟองน้ำบิดหมาดถูทำความสะอาดโดยรอบ ตามด้วยล้างด้วยน้ำสะอาดให้เรียบร้อย

 8. ขัดโถสุขภัณฑ์

หลังจากจัดการด้านนอกโถไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ถึงตาด้านในโถสุขภัณฑ์ที่เราเทน้ำยาล้างห้องน้ำทิ้งไว้แล้วล่ะค่ะโดยอุปกรณ์เสริมสำหรับขั้นตอนนี้สามารถเลือกเป็นแปรงขัดมีด้ามยาวแบบปกติก็ได้เสร็จแล้วก็กดชักโครกชำระคราบน้ำยาอีกที

 9. จัดการพื้นห้องน้ำ

พื้นที่ส่วนอื่น ๆ ในห้องน้ำสะอาดปิ๊งหมดจด คงเหลือแต่พื้นห้องน้ำที่ยังเขรอะอยู่ดังนั้นงานต่อมาก็ต้องขัดพื้นห้องน้ำให้แจ่มสักที ซึ่งหากคุณใช้น้ำยาล้างห้องน้ำควรเทน้ำยาทิ้งไว้สัก 10 นาทีก่อนขัด หรือหากใช้น้ำยาฆ่าเชื้อล้างห้องน้ำควรราดน้ำยาทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีก่อนลงมือขัด และในส่วนร่องกระเบื้องที่สะสมคราบสกปรกไว้มากต้องเจอกับแปรงสีฟันด้ามเก่ากับน้ำยาฟอกขาวสักหน่อย

 10. โละของเก่าทิ้ง จัดของยังใช้เข้าที่ให้เรียบร้อย

หลังจากทำความสะอาดพื้นห้องน้ำเสร็จแล้ว ควรจะใช้ม็อบหรือฟองน้ำซับน้ำออกอีกทีพร้อมทั้งเปิดพัดลมดูดอากาศไว้เพื่อป้องกันความชื้น จากนั้นก็มาคัดของที่เราย้ายออกมาจากห้องน้ำต่อโดยเลือกเอาแค่เฉพาะของที่ยังใช้งานอยู่ไปวางเก้บเข้าที่ ส่วนบรรดาแปรงสีฟันอันเก่าซากหลอดยาสีฟันที่ใช้หมดแล้ว รวมทั้งหลอดโฟมล้างหน้าเบาโหวงก็จัดการโยนทิ้งขยะซะแต่ก่อนจะนำของใช้ไปวางเข้าที่ อย่าลืมล้างน้ำให้หายมอมแมมด้วยนะคะ

หลังจากเคลียร์ห้องน้ำจนสะอาดหมดจดแล้ว ก็อย่าลืมรักษาความสะอาดห้องน้ำอยู่เสมอด้วยล่ะ โดยเฉพาะเมื่ออาบน้ำเสร็จก็ควรใช้ม็อบถูพื้นห้องน้ำให้แห้ง เปิดพัดลมดูดอากาศทิ้งไว้สักพักพร้อมกันนั้นม่านกั้นห้องน้ำหรือผนังห้องน้ำที่เปื้อนคราบสบู่ก็ควรฉีดน้ำล้างให้หมดจดด้วย

6
การแก้ปัญหา ท่อลมร้อนเกิดการรั่วซึม

การแก้ไขปัญหาท่อลมร้อนรั่วซึมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันอันตรายจากความร้อนและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีขั้นตอนและวิธีการแก้ไขดังนี้:

1. การตรวจสอบรอยรั่ว

ตรวจสอบด้วยสายตา:
ตรวจสอบท่อลมร้อนอย่างละเอียดเพื่อหารอยรั่ว รอยแตก หรือรอยร้าว ซึ่งอาจเกิดจากการเสื่อมสภาพของวัสดุหรือการกระแทก
สังเกตบริเวณข้อต่อและจุดเชื่อมต่อเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นจุดที่มักเกิดการรั่วไหล

การทดสอบแรงดัน:
ทำการทดสอบแรงดันของท่อลมร้อน เพื่อตรวจสอบรอยรั่ว
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแรงดันอยู่ในระดับที่ปลอดภัยตามข้อกำหนดของผู้ผลิต

การใช้สเปรย์ฟองสบู่:
ฉีดพ่นสเปรย์ฟองสบู่บริเวณท่อลมร้อน และสังเกตการเกิดฟองสบู่

การใช้เครื่องตรวจจับรอยรั่ว:
ใช้เครื่องมือตรวจจับรอยรั่วเพื่อตรวจสอบรอยรั่วขนาดเล็ก

2. การซ่อมแซมรอยรั่ว
การซ่อมแซมรอยรั่วขนาดเล็ก:
ใช้เทปพันท่อทนความร้อน หรือวัสดุอุดรอยรั่วทนความร้อน อุดรอยรั่ว
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าวัสดุที่ใช้สามารถทนทานต่ออุณหภูมิและความดันของท่อลมร้อนได้

การซ่อมแซมรอยรั่วขนาดใหญ่:
ตัดส่วนที่เสียหายออก และเปลี่ยนท่อลมร้อนส่วนใหม่
เชื่อมต่อท่อลมร้อนส่วนใหม่เข้ากับท่อลมร้อนส่วนเดิม โดยใช้การเชื่อมหรือข้อต่อที่เหมาะสม

การซ่อมแซมรอยรั่วบริเวณข้อต่อ:
ขันน็อตหรือสกรูให้แน่น
เปลี่ยนวัสดุซีลที่เสื่อมสภาพ

3. การป้องกันการรั่วซึมในอนาคต
การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม:
เลือกวัสดุที่ทนทานต่อความร้อนและสารเคมี
เลือกฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพ

การติดตั้งที่ถูกต้อง:
ติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ
ตรวจสอบการเชื่อมต่อและข้อต่อต่างๆ ให้แน่นหนา

การบำรุงรักษาเป็นประจำ:
ตรวจสอบและทำความสะอาดท่อลมร้อนอย่างสม่ำเสมอ
ตรวจสอบฉนวนกันความร้อน แรงดัน และอุณหภูมิ
ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสียหายทันที

การใช้งานที่เหมาะสม:
หลีกเลี่ยงการใช้งานเกินกำลัง
ควบคุมอุณหภูมิและความดัน
ป้องกันการกระแทกและการเสียดสี

การบันทึกข้อมูล:
บันทึกข้อมูลการตรวจสอบและการบำรุงรักษา

ข้อควรระวัง
การซ่อมแซมท่อลมร้อนควรทำโดยผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์
ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เช่น ถุงมือ แว่นตา และหน้ากาก เมื่อทำการซ่อมแซม
หากไม่แน่ใจในการซ่อมแซม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
การแก้ไขปัญหาท่อลมร้อนรั่วซึมอย่างถูกต้องและรวดเร็ว จะช่วยป้องกันอันตรายและยืดอายุการใช้งานของระบบท่อลมร้อน

7
การสร้างอาชีพ จากการขายแกงส้มชะอมกุ้ง อาหารไทยรสเลิศรสชาติกลมกล่อมลงตัว

ประเทศไทยมีชื่อเสียงในด้านอาหารที่มีรสชาติจัดจ้านและมีกลิ่นหอมและแกงส้มชะอมกุ้งเป็นอาหารที่เป็นตัวแทนของรสชาติไทยแท้ได้อย่างแท้จริง แกงเปรี้ยวสไตล์ใต้จานนี้ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่เปรี้ยว เผ็ดและหวานเล็กน้อย ผสมผสานกับรสอูมามิที่เข้มข้นของกุ้งและเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ของไข่เจียวใบชะอมรสชาติกลมกล่อมลงตัวเป็นเมนูที่ทำได้ง่ายและอร่อย

อะไรที่ทำให้แกงส้มพิเศษ?
แกงส้มแตกต่างจากแกงกะทิทั่วๆ ไป เพราะแกงส้ม ใช้ น้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้แกงมีรสชาติเบาบางแต่เข้มข้น ส่วนประกอบหลักทำมาจากพริกแกงเผ็ดและเปรี้ยว ซึ่งโดยทั่วไปประกอบด้วยพริกแห้ง กระเทียม หอมแดง ขมิ้น และกะปิ ปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนประกอบหลักคือมะขามเปียกซึ่งทำให้จานนี้มีรสชาติเปรี้ยวจี๊ดที่เป็นเอกลักษณ์ เสริมด้วยน้ำตาลมะพร้าวเพื่อความหวานเล็กน้อยและน้ำปลาเพื่อเพิ่มความเข้มข้น

ส่วนผสมที่สำคัญ
กุ้ง (Goong) :กุ้งสดเพิ่มรสชาติอาหารทะเลที่แสนอร่อยและโปรตีนให้กับอาหารจานนี้
ไข่เจียวชะอม (ชะอมไก่) : นำ ชะอมสีเขียวเข้มหั่นเป็นชิ้นเล็กๆผสมกับไข่ที่ตีแล้ว ทอดในกระทะให้เป็นไข่เจียว จากนั้นหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ วิธีนี้จะทำให้เมนูมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มฟู
น้ำพริกแกง:การผสมผสานระหว่างพริกแห้ง ขมิ้น กระเทียม หอมแดงและกะปิ ทำให้เกิดรสชาติที่เข้มข้นและมีกลิ่นหอม
น้ำพริกมะขาม :ให้ความเปรี้ยวเอกลักษณ์ของเมนูนี้
น้ำตาลปี๊บและน้ำปลา:ช่วยสร้างความสมดุลให้กับรสชาติด้วยรสหวานและเค็มเล็กน้อย
ผัก (ตามชอบ) :ผักบางชนิด เช่น หน่อไม้ มะละกอเขียว หรือผักบุ้ง

วิธีทำแกงส้มชะอมกุ้ง
เตรียมพริกแกง – โขลกพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม ขมิ้น และกะปิเข้าด้วยกันโดยใช้ครกและสาก หรือปั่นในเครื่องปั่นอาหาร
ทำไข่เจียวอะคาเซีย – ตีไข่กับ ใบ ชะอมทอดจนเป็นสีเหลืองทอง จากนั้นหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
ทำน้ำซุป – ต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่พริกแกงลงไป คนจนละลาย
ปรุงรสแกง – เติมน้ำมะขามเปียก น้ำปลา และน้ำตาลปี๊บตามชอบ ปรับรสเปรี้ยว เค็ม และหวานให้สมดุลกัน
ใส่กุ้ง – ใส่กุ้งสดลงไปแล้วปรุงจนกระทั่งกุ้งเปลี่ยนเป็นสีชมพู
ใส่ไข่เจียว – วางไข่เจียวอะคาเซียลงในแกงกะหรี่เบาๆ ปล่อยให้ไข่เจียวซึมซับรสชาติ
เสิร์ฟร้อน – รับประทานกับข้าวหอมมะลินึ่งเพื่อมื้ออาหารไทยที่สมบูรณ์แบบ!

ทำไมคุณถึงควรลองแกงส้มชะอมกุ้ง
อุดมไปด้วยรสชาติ:การผสมผสานอย่างลงตัวของรสเปรี้ยว เผ็ด และอูมามิ
ดีต่อสุขภาพและเบา:ไม่มีกะทิจึงทำให้มีไขมันต่ำกว่าแกงไทยอื่นๆ
ความเป็นไทยแท้:ตัวแทนที่แท้จริงของอาหารบ้านๆ ของไทยและอาหารใต้

แกงส้มชะอมกุ้งเป็นเมนูที่ต้องลองสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติจัดจ้าน เผ็ดร้อน และเปรี้ยว ไม่ว่าคุณจะกำลังลองทานอาหารไทยเป็นครั้งแรกหรือกำลังมองหาวิธีทำอาหารไทยแท้ๆ ที่บ้าน เมนูนี้มอบประสบการณ์อันแสนอร่อยที่แสดงให้เห็นถึงความล้ำลึกและความสมดุลของรสชาติไทย เพลิดเพลินกับเมนูนี้กับข้าวหอมมะลิอุ่นๆ และสัมผัสรสชาติที่แท้จริงของประเทศไทย

8
ตรวจอาการด้วยตนเอง: มะเร็งลำไส้เล็ก (Small intestine cancer)

มะเร็งลำไส้เล็ก พบได้ค่อนข้างน้อย พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย พบมากขึ้นตามอายุ อายุเฉลี่ยที่พบประมาณ 60 ปี

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    การสูบบุหรี่และการดื่มสุราจัด
    การกินอาหารที่มีไขมันสัตว์สูง เนื้อแดง เนื้อสัตว์หมักเกลือหรือรมควัน
    การมีประวัติเป็นติ่งเนื้อในลำไส้ชนิดถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (familial adenomatous polyposis) หรือโรคลำไส้อักเสบ ที่ชื่อว่า โรคครอห์น (Crohn’s disease)
    การมีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
    การมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นมะเร็งทางเดินอาหาร (กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ถุงน้ำดี) ทางเดินปัสสาวะ (ไต กระเพาะปัสสาวะ) รังไข่ มดลูก สมอง หรือผิวหนังซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางกรรมพันธุ์

อาการ

มีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือถ่ายดำ ซีด น้ำหนักลด อาจมีอาการปวดท้องรุนแรงและอาเจียนจากภาวะลำไส้อุดกั้น บางรายอาจมีอาการดีซ่านร่วมกับถ่ายอุจจาระสีซีดขาวจากภาวะน้ำดีอุดกั้น หรือคลำได้ก้อนในท้อง

ภาวะแทรกซ้อน

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้ทางเดินอาหารอุดกั้น (ปวดท้อง อาเจียน) มีเลือดออก (ทำให้ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือถ่ายดำ โลหิตจาง)

มะเร็งมักลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง ในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ท้องมาน) ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง แอ่งเหนือไหปลาร้า และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ) และอาจไปที่สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก) เกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ ที่มะเร็งแพร่กระจายไป

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยเอกซเรย์ลำไส้โดยการกลืนแป้งแบเรียม ตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้กล้องส่องตรวจลำไส้และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด บางรายอาจให้เคมีบำบัด และ/หรือรังสีบำบัด ขึ้นกับชนิดของเซลล์มะเร็งและระยะของโรค

ผลการรักษา หากเป็นมะเร็งระยะแรก การรักษาได้ผลดี (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 85) แต่ถ้าเป็นมะเร็งระยะท้าย การรักษาได้ผลไม่ดี (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 40)

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดท้องบ่อยหรือปวดท้องรุนแรง, ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือถ่ายดำ, ซีด, ตาเหลืองตัวเหลือง และอุจจาระสีซีดขาว, น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้เล็ก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงจึงไม่อาจหาทางป้องกัน

อย่างไรก็ตาม ก็อาจลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้เล็กด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสัตว์สูง เนื้อแดง เนื้อสัตว์หมักเกลือหรือรมควัน
    ไม่สูบบุหรี่
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการปวดท้องเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือถ่ายดำ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

9
เด็กที่มีรูปหน้าสั้น แก้ไขด้วยการจัดฟันเด็กได้หรือไม่

การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเด็กส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูดนิ้ว ซึ่งการดูดนิ้วเป็นพัฒนาการปกติของเด็กเล็ก เป็นพฤติกรรมที่เด็กใช้ในการปลอบตนเองหรือเป็นการกระตุ้นตัวเอง สามารถพบภาวะนี้ได้ตั้งแต่ในครรภ์ วัยทารกพบภาวะดังกล่าวได้ถึงร้อยละ 80 ของเด็กทั้งหมด และจะลดลงจนเหลือประมาณร้อยละ 30-45 ในเด็กวัยก่อนเรียน

อย่างไรก็ตาม การดูดนิ้วที่มากเกินไปในเด็กที่อายุมากกว่า 4 ปี อาจนำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปัญหาช่องปากและฟัน การสบฟันผิดปกติ กระดูกใบหน้าเจริญผิดปกติหรือพูดไม่ชัด  ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความมั่นใจ และปัญหาในเรื่องขอสุขภาพช่อช่องปากและฟันในอนาคตได้ แต่ที่แน่นอนก็คือ พฤติกรรมดูดนิ้ว หรือดูดขวดนมในเด็กนั้น  ส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันโดยตรง และยังส่งผลทำให้เด็กมีกระดูกใบหน้าที่เจริญเติบโตแบบผิดปกติด้วย ส่งผลให้เด็กอาจจะมีรูปหน้าสั้นได้ ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก จึงสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการจัดฟันในเด็กช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดียิ่งขึ้นได้ ในปัจจุบัน การจัดฟันได้มีการพัฒนาให้สามารถจัดฟันในเด็กได้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่อายุ4-10 ปี โดยการจัดฟันของเด็กในวัยนี้ เป็นการจัดฟันที่ใช้เครื่องมือการจัดฟันที่เรียกว่า EF LINE


ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่จะมากน้อยตามแต่ช่วงอายุของเด็ก ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต โดยเครื่องมือ EF LINE มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า เป็นต้น

สำหรับวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงปัญหาความผิดปกติของโครงสร้างของใบหน้าเด็ก ที่มีรูปหน้าสั้น อันมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมในวันเด็กที่ชอบดูดนิ้ว ดูขวดนมเป็นนิสัย ซึ่งปัญหาดังกล่าว ก็เป็นที่กังวลใของพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน ซึ่งการแก้ไขปัญหาที่พ่อแม่สามารถทำได้ก็คงจะเป็นเรื่องของการทำให้เด็กเลิกดูดนิ้ว ดูดขวดนม เป็นเวลานานซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครอง สามารถสอนให้เด็กใช้แก้วน้ำแทนการดูดขวดนมได้ แต่ถ้าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ทัน แน่นอนว่าเมื่อลูกมีโครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติ


การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว อย่างที่ทราบกันดีว่า การจัดฟันในเด็กด้วยเครื่องมือ EF LINE สามารถช่วยแก้ไขในเรื่องของปัญหาสุขภาพฟันในเด็กเล็กได้ และยังสามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างของใบหน้าของเด็กได้ด้วย เพราะเครื่องมือ EF LINE นั้น สามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง   

เพราะฉะนั้นหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า จะต้องเข้ารับการแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน เพราะกล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า ดังนั้น การเข้ารับการปรับแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อ ปรับเปลี่ยนการหายใจให้ถูกวิธี รวมถึงการปรับการกลืนให้ถูกต้อง ด้วยเครื่องมือ EF line จึงมีประสิทธิภาพมากยกตัวอย่างเช่น ปัญหาการกลืนที่ผิดปกติ ในขณะกลืนผู้ป่วยจะยื่นลิ้นออกมาอยู่ระหว่างปลายฟันหน้าบนและล่าง ต้องพิจารณาจากขนาดของลิ้น


โดยลิ้นอาจมีขนาดใหญ่ผิดปกติ เนื่องจากโรคทางระบบและตำแหน่งของลิ้นในขณะพักตำแหน่งของลิ้นที่ปกติอาจเป็นผลจากขบวนการปรับตัว มักพบในคนไข้ภูมิแพ้ มีการอุดตันของช่องจมูก ขากรรไกรบนแคบมาก ความสูงของใบหน้ามากผิดปกติควรมาพบทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข ฟันหน้าห่าง การสบฟันหลังคร่อม การพูดออกเสียงไม่ชัด และเกิดการพัฒนาใบหน้าแนวดิ่งมากกว่าปกติ อาการเหล่านี้ถือว่าส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก ดังนั้น ถ้าเด็กมีความผิดปกติ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจกับทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อทำการแก้ไข

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจ พาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีหากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กต่อสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกไอดอลสมายเพราะคลินิกของเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์อย่างยาวนานจึงทำให้สามารถแนะนำหรือแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างถูกวิธี


นอกจากนี้ ทันตแพทย์ของเรายังสามารถช่วยประเมินปัญหาและแนะนำแนวทางการแก้ไขได้อย่างตรงจุด สามารถแนะนำวิธีการรักษาโดยยึดหลักปัญหาฟันของเด็กเพื่อให้เด็กได้รับการรักษาที่ถูกวิธี เพราะเราอยากให้เด็กเด็กทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีบุคลิกภาพที่น่ารักสดใสสมวัย มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม เพื่อให้เด็กได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่เสริมสร้างพัฒนาการของเด็กและทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

10
townhome ไลโอ เพชรเกษม-อ้อมน้อย (Lio Petchkasem - Omnoi)
เริ่มต้น 1.89 ลบ.

ไลโอ เพชรเกษม-อ้อมน้อย (Lio Petchkasem - Omnoi)
เตรียมพบทาวน์โฮมโครงการใหม่ ตรงข้าม Big C อ้อมใหญ่ ทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ French Colonial Style ภายใต้แบรนด์ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ การออกแบบทาวน์โฮมด้วยสไตล์ฝรั่งเศส โดยมีฟังก์ชั่นที่สามารถตอบรับวิถีชีวิตใหม่ ด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ โดดเด่นด้วยฟังก์ชันที่ลงตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน เปิด Presale ครั้งที่ 2 " 20-21 ม.ค.นี้ เปิดจอง ทาวน์โฮมใหม่ 1.89 ล้าน"

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              ไลโอ เพชรเกษม-อ้อมน้อย (Lio Petchkasem - Omnoi)
 เจ้าของโครงการ     ลลิลพร็อพเพอร์ตี้
 แบรนด์ย่อย              ไลโอ
 ราคา                            เริ่มต้น 1.89 ลบ.

 ประเภทบ้าน            ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล          บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ         26 ไร่ 2 งาน 14 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน              279 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด           2 แบบ
  เนื้อที่บ้าน                       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย                   ตั้งแต่ 105 ถึง 125 ตร.ม.
 จำนวนชั้น                      2 ชั้น
 หน้ากว้าง                        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน          ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ           ตั้งแแต่ 1 ถึง 2 คัน
 สาธารณูปโภค              สวนสาธารณะ (การจัดสวนสไตล์โพรวองซ์ (Provence) พร้อม Solar Cell), ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (Main Gate แยกช่องทางเข้า-ออก), Keycard System, Co-working space

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน               นครปฐม, พุทธมณฑล, นครชัยศรี, สามพราน
 ที่ตั้ง              29 ถนนซอยเทศบาล 8 ตำบล ไร่ขิง อำเภอสามพราน นครปฐม 73210

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนพุทธมณฑลสาย 5, ถนนเพชรเกษม)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Big C อ้อมใหญ่ 4.5 กม.
วัดอ้อมน้อย 6 กม.
ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาซอยไวไว 1.2 กม.
ร้านสะดวกซื้อ 7-11 สาขาซอยไวไว 1.2 กม.
คาเฟ่ ชะตาธรรมชาติ 0.1 กม.
โรงเรียนยอแซฟฯ 5.3 กม.
มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา 14 กม.
โรงพยาบาลวิชัยเวช 12 กม.
โรงพยาบาลมหาชัย2 6 กม.

11
Doctor At Home: โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory bowel disease/IBD)

หากสงสัย ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งจะทำการตรวจวินิจฉัยและให้การรักษา

ในรายที่อาการเล็กน้อย แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ และแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวในเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การคลายเครียด การไม่สูบบุหรี่ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาอาการและลดความรุนแรงของโรค

ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะให้ยาควบคุมการอักเสบ ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม อาทิ ยาต้านการอักเสบ (เช่น สเตียรอยด์, mesalazine, sulfasalazine), ยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น azathioprine, cyclosporine, methotrexate), ยาชีววัตถุ (biologics เช่น infliximab, adalimumab, vedolizumab)

นอกจากนี้ แพทย์จะให้การรักษาตามอาการและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้, ยาแก้ท้องเดิน (เช่น โลเพอราไมด์), ยาปฏิชีวนะ (เช่น ไซโพรฟล็อกซาซิน เมโทรไนดาโซล) ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย, ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีภาวะซีด, โภชนบำบัดในรายที่น้ำหนักลดมาก, การผ่าตัด (เช่น ลำไส้ทะลุ มะเร็งลำไส้ ฝีคัณฑสูตร ลำไส้มีเลือดออกมาก หรือลำไส้อักเสบรุนแรง และใช้ยารักษาไม่ได้ผล)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่การรักษาด้วยยาเป็นการบรรเทาอาการและควบคุมการอักเสบ ซึ่งอาการมักดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่เนื่องจากโรคนี้มักเป็นเรื้อรังไม่หายขาด จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์ก็จะทำการแก้ไขให้ปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

12
มอเตอร์โชว์: ALL NEW NISSAN KICKS สวยจริงแต่มาไทยไหม ส่วนสเปคและขุมพลังจะใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ หรือ e-POWER

จะมาพูดถึงรถยนต์รุ่นนึงของ NISSAN ที่โดดเด่นด้วย e-POWER นั่นคือ ALL NEW  KICKS รุ่นใหม่ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สหรัฐอเมริกา และมีแนวโน้มว่าจะเปิดตัวในญี่ปุ่นเร็ว ๆ นี้ ซึ่งที่ผ่านมา รถยนต์ NISSAN ที่ใช้เทคโนโลยี e-POWER คือรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% แต่มีเครื่องยนต์เบนซินทำหน้าที่ปั่นไฟไปเก็บในแบตเตอรี่ ไม่ใช่ระบบไฮบริดแบบทั่วไปที่เครื่องยนต์และมอเตอร์ช่วยกันขับเคลื่อนรถ โดยมี KICKS e-POWER ที่เป็น B-SUV ที่ทำตลาดในปี 2020 เป็นครั้งแรก และ SERENA e-POWER (C28) เป็นรถ MPV 7 ที่นั่ง ส่วน ALL NEW  KICKS ที่กำลังจะพูดถึงนี้เป็นรุ่นที่กูรูช้างคาดว่าจะเข้ามาในอนาคตไทย กูรูช้าง จะพาไปวิเคราะห์แนวโน้ม ขุมพลัง เทคโนโลยี และความเหมาะสมของรุ่นใหม่นี้กับตลาดไทย
 
ดีไซน์และเทคโนโลยีใหม่ในเวอร์ชันอเมริกา
ดีไซน์ใหม่สไตล์ SUV ล้ำอนาคต ดูเหลี่ยมและกล่องมากขึ้น
ภายในติดตั้งหน้าจอคู่บนแดชบอร์ดยาวเต็มคอนโซล
พวงมาลัยมีดีไซน์ใกล้เคียงกับ Nissan Serena e-POWER
 
ขุมพลัง: เบนซินหรือ e-POWER?
ในสหรัฐฯ ยังใช้เครื่องยนต์เบนซินล้วน เพราะต้องตอบโจทย์การเดินทางระยะไกล
ในญี่ปุ่น คาดว่าใช้ระบบ e-POWER แน่นอน เพราะเป็นเทคโนโลยีหลักของ Nissan ในตลาดนี้
ในไทย หากจะนำเข้ามาจริง ก็ควรเป็นรุ่น e-POWER เช่นกัน เพราะจะเหมาะกับการใช้งานในเมือง และตรงกับแนวทางรถยนต์อนาคต
 
 
เปรียบเทียบกับรุ่นปัจจุบันในไทย
KICKS e-POWER รุ่นปัจจุบันยังคงทำตลาดในไทยอยู่ โดยใช้แบตเตอรี่ขนาด 35-45 ลิตร
จุดอ่อนคือระยะทางการวิ่งต่อถังน้อยกว่าเบนซินล้วน
ถ้า ALL NEW  KICKS ใช้มอเตอร์ตัวเดียวกับ Leaf แต่พัฒนาใหม่เพื่อเพิ่มพลัง ก็จะตอบโจทย์มากขึ้น
 
การเปิดตัวในไทย เมื่อไหร่?
ถ้าพิจารณาจากไทม์ไลน์ คาดว่าจะยังไม่เปิดตัวในไทยภายในปีนี้
มีโอกาสเปิดตัวในช่วงกลางปีหน้าหรือปลายปี 2026
หากจะผลิตในไทย ควรเริ่มด้วยขุมพลัง e-POWER ใหม่ เพื่อให้แข่งขันกับคู่แข่งในกลุ่ม B-SUV ได้
 
ราคาเปิดตัวในไทย (คาดการณ์)
ราคาน่าจะเริ่มต้นที่ประมาณ 899,000 บาท ถึง 1,100,000 บาท หากมีรุ่นพิเศษ เช่น ขับเคลื่อน 4 ล้อหรือมอเตอร์คู่ ราคาก็อาจแตะ 1.4 – 1.5 ล้านบาทได้

คู่แข่งในตลาด
Mitsubishi X-Force: ออปชันครบ ราคาน่าสนใจ
Honda HR-V: พรีเมียม มีเวอร์ชันไฮบริดให้เลือก
Toyota Yaris ATIV Hybrid (ใหม่): คาดว่าจะเปิดตัวในปีนี้ พร้อมเทคโนโลยีไฮบริดใหม่จาก Yaris Cross
 
สำหรับผู้ที่รอ
หากคุณใช้งาน NISSAN KIXKS อยู่แล้วและชื่นชอบระบบขับเคลื่อน e-POWER แนะนำให้รอรุ่นใหม่ แต่หากคุณต้องการรถใหม่เร็วๆ นี้ ควรมองทางเลือกอื่น เช่น SERENA C28 ที่เป็น MPV e-POWER ตัวใหม่ ใช้งานได้หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น

13
จัดฟันเด็กเสร็จแล้วฟันก็จะอยู่ในสภาพนั้นตลอดไปหรือไม่
 
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าปัญหาการเกิดฟันผุนั้น เกิดจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องปากรวมตัวกับเศษอาหารและน้ำลายสะสมกันเป็นคราบเหนียว ที่เรียกว่า คราบฟัน หรือคราบแบคทีเรีย ซึ่งจะเกาะอยู่บนผิวของฟัน แบคทีเรียเหล่านี้จะเปลี่ยนสภาพน้ำตาลและแป้งให้เป็นกรด มีฤทธิ์ทำลายแร่ธาตุที่ผิวฟัน จนก่อให้เกิดเป็นรู โดยเริ่มจากขนาดเล็กๆ ลุกลามใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นโรคฟันผุ

ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดได้ในเด็กตั้งแต่อายุไม่ถึง 1 ปี หรือเริ่มมีฟันน้ำนมขึ้นเป็นซี่แรก เนื่องจากชั้นเคลือบฟันของฟันน้ำนมจะบางกว่าชั้นเคลือบฟันของฟันแท้ และยังมีแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของความแข็งแรง เช่น แคลเซียม และฟอสฟอรัสน้อยกว่าในฟันแท้อีกด้วย จึงทำให้ฟันน้ำนมมีโอกาสผุได้ง่ายมาก ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้ามเรื่องเล็กๆแบบนี้ไป เพราะอาจจะทำให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต

ถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟัน ควรรีบพาไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข ซึ่งพ่อแม่หลายคนมองว่า การจัดฟันในเด็กนั้น ยังไม่มีความจำเป็น เพราะเด็กยังมีฟันน้ำนมอยู่และต่อไปก็ต้องมีฟันแท้ขึ้นมาอยู่ดี นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กมีปัญหาฟันผุจำนวนมาก และหลายคนก็สงสัยว่า การเขารับการจัดฟันในเด็ก จะสามารถทำให้เด็กมีฟันที่คงสภาพนี้ไปได้ตลอดไปหรือไม่ ซึ่งข้อนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนกังวล ดังนั้น วันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงประเด็นจัดฟันในเด็กเสร็จแล้วฟันก็จะอยู่ในสภาพนั้นตลอดไปหรือไม่ เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานที่กำลังมีปัญหาฟันได้เข้าใจอย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น
 
การจัดฟันในเด็ก ถึงแม้ว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาฟันของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พฤติกรรมระหว่างการจัดฟัน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้เด็กมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติได้ ดังนั้น จึงเป็นบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะต้องคอยแนะนำและสอนให้เด็กมีความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน รวมไปถึงการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของทันตแพทย์


เพื่อที่ผลการรักษาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างแท้จริง เพราะการแก้ไขปัญหาฟันในเด็ก ถือว่าเป็นการรักษามีประสิทธิภาพในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากการรักษาไม่มีความซับซ้อน การจัดฟันในช่วงที่ฟันกำลังมีการพัฒนาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การรักษาไม่นุ่งยาก เหมือนกับการจัดฟันในวัยผู้ใหญ่ เพราะปัญหาฟันจะแก้ยากขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น


ในเรื่องของสภาพฟันหลังจากการจัดฟัน คนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันเสร็จแล้วก็จบกัน ไม่ต้องดูแลเหมือนตอนจัดฟัน ถือว่าเป้นความคิดที่ผิด เพราะคิดฟันจะเรียงตัวสวยอยู่สภาพนั้นไปตลอด ไม่เปลี่ยนแปลงไปอีกเลยตลอดกาล นี่เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ไม่เป็นจริง เพราะหลังจากที่เด็กเข้ารับการจัดฟันเสร็จแล้ว


โดยปกติฟันของเรายังสามารถมีการเคลื่อนที่อยู่ต่อไปได้อีก ดังนั้น สิ่งที่สำคัญหลังจากการจัดฟันก็คือ เด็กจะต้องจำเป็นจะต้องสวมใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันและรักษารูปแบบของฟันให้คงอยู่ดังเดิม และไม่ให้ฟันล้ม จนต้องกลับมาจัดฟันใหม่อีกครั้ง เพราะถ้าเด็กจะต้องเข้ารับการจัดฟันใหม่อีกครั้งในอนาคต นั่นถือว่า การจัดฟันในเด็กไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจจะมีผลมาจากการที่เราไม่ดูแลรักษาฟันให้ดี และละเลยเกี่ยวกับปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะคอยเตือนคอยแนะนำให้เด็กใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันให้มาก เพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงามได้
 
ดังนั้น หากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับฟันหรือความผิดปกติที่เกี่ยวกับรูปร่างฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อให้เด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เด็ก มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อยได้ หากใครสนใจ พาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หรือเข้าตรวจฟันเบื้องต้น ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพื่อที่จะได้ให้เด็กมีสุขขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรงตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพฟัน และยังช่วยทำให้เด็กได้ทีพัฒนาการที่ดีขึ้น มีรอยยิ้มที่สดใส สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

14
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาล หรือกลูโคส (glucose) ในเลือดต่ำกว่าปกติ (ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มก./ดล.)

ถือเป็นภาวะที่ร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายได้

สาเหตุ

อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

1. พบหลังดื่มแอลกอฮอล์จัด อดข้าว มีไข้สูง หรือออกกำลังมากไป

2. ผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังได้รับยาเบาหวาน บางครั้งกินอาหารน้อยไปหรือกินอาหารผิดเวลา หรือออกแรงกายมากไปกว่าที่เคยทำอยู่ หรือใช้ยาเกินขนาด ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ผู้ป่วยที่กินยาเม็ดรักษาเบาหวานในตอนเช้า มักจะมีอาการตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ฉีดอินซูลินตอนเช้า มักจะมีอาการตอนบ่าย ๆ

3. พบในทารกแรกคลอดที่มารดาเป็นเบาหวาน หรือทารกมีน้ำหนักน้อย (ดู ภาวะชักในทารกแรกเกิด)

4. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ บางรายก็อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นครั้งคราวได้ เนื่องจากร่างกายมีการใช้น้ำตาลมากขึ้น

5. ผู้ป่วยที่ผ่าตัดกระเพาะอาหารออกไปแล้ว อาจเกิดภาวะนี้ได้บ่อย ๆ โดยมากจะเกิดหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมง เนื่องจากลำไส้มีการดูดซึมน้ำตาลเร็วเกินไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เรียกว่า “Dumping syndrome”

6. ถ้าเป็นอยู่บ่อย ๆ อาจมีสาเหตุจากโรคตับเรื้อรัง มะเร็งตับอ่อนชนิดอินซูลิโนมา (insulinoma) มะเร็งต่าง ๆ โรคแอดดิสัน เป็นต้น

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ ซึม กระสับกระส่าย พูดอ้อแอ้ แขนขาอ่อนแรง ปากชา มือชา พูดเพ้อ เอะอะโวยวาย ก้าวร้าว ลืมตัว หรือทำอะไรแปลก ๆ (คล้ายคนเมาเหล้า)

ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการชัก หมดสติ

ในรายที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเย็นชืด แขนขาเกร็ง ขากรรไกรแข็ง

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยให้หมดสติอยู่นาน หรือเป็นอยู่ซ้ำ ๆ จะทำให้สมองพิการ ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม วิกลจริต

บางรายอาจหลับไม่ตื่นเนื่องจากสมองพิการอย่างถาวร


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

เหงื่อออก มือเท้าเย็น อาจมีอาการชักหรือหมดสติ ชีพจรมักจะมีลักษณะเบาเร็ว บางรายอาจพบความดันเลือดต่ำ

รูม่านตามักจะมีขนาดปกติ และหดลงเมื่อถูกแสง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะพบว่าต่ำกว่าปกติ (มักจะพบต่ำกว่า 50 มก./ดล. ในรายที่เป็นมากอาจต่ำกว่า 20 มก./ดล.)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าหมดสติ แพทย์จะให้ฉีดกลูโคสขนาด 50% จำนวน 50-100 มล. เข้าทางหลอดเลือดดำ หากผู้ป่วยฟื้นแล้ว แต่ยังกินไม่ค่อยได้ ก็จะให้เดกซ์โทรส 5% (5% D/W) เข้าทางหลอดเลือดดำจำนวน 500-1,000 มล.

2. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัวและกินได้ แพทย์จะให้กินน้ำหวาน หรือกลูโคส

3. แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ


การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว หรือสงสัยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (เช่น พบในผู้ที่กำลังรักษาโรคเบาหวาน อดข้าว หรือ ดื่มแอลกอฮอล์จัด) ควรรีบกินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอม หากทุเลาทันที ก็แสดงว่าเป็นภาวะนี้ ต่อไปควรหาทางป้องกันไม่ให้กำเริบอีก

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอาการชัก ซึมมาก หรือหมดสติ
    กินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอมแล้วไม่ทุเลา
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

    ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเบาหวานรักษา ต้องปรับอาหารการกินและการออกกำลังกาย (การใช้แรงกาย) ให้พอเหมาะ อย่าอดอาหาร อย่ากินอาหารผิดเวลา อย่าใช้แรงกายหักโหมหรือหนักกว่าที่เคยทำ ข้อสำคัญอย่าใช้ยาเกินขนาดที่แพทย์สั่ง และพกน้ำตาล ของหวานหรือลูกอมติดตัวไว้แก้ไขเมื่อเริ่มรู้สึกมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด
    กินอาหารให้ตรงเวลา อย่าอดข้าว ถ้ารู้สึกหิว ควรรีบกินอาหาร ของหวาน หรือดื่มนม หรือน้ำหวาน


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้ายังรู้สึกตัวดี ควรรีบกินน้ำตาล น้ำหวาน หรือของหวาน ๆ ทันที ซึ่งจะช่วยให้อาการต่าง ๆ ทุเลาลงทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยารักษาเบาหวานอยู่ ควรพกน้ำตาลติดตัวไว้กินทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกมีอาการ

แต่ถ้าหมดสติ ห้ามกรอกน้ำตาลหรือน้ำหวานเข้าปากผู้ป่วย อาจทำให้สำลักลงปอดได้ ควรรีบนำไปยังสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด เพื่อฉีดกลูโคสเข้าหลอดเลือดดำ

2. ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้บ่อย ๆ ควรบอกให้ญาติและเพื่อนใกล้ชิดทราบ เพื่อจะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงทีหากปล่อยไว้จนหมดสติหรือชักนาน ๆ อาจทำให้สมองพิการได้

3. ในรายที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด 

4. ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน (มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเบาหวาน) บางรายอาจเกิดอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมงได้บ่อย (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลักษณะนี้ เรียกว่า “Reactive hypoglycemia”) และอาจกลายเป็นเบาหวานในระยะอีกหลายปีต่อมา ดังนั้นผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ และตรวจพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวานก็ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเบาหวาน

15
ท่อลมร้อนสแตนเลส เหมาาะกับการใช้ประเภทไหนบ้าง

ท่อลมร้อนสแตนเลส (Stainless Steel Duct) เป็นตัวเลือกที่มีคุณภาพสูงและประสิทธิภาพดีเยี่ยมสำหรับการใช้งานในสภาวะที่ท้าทาย เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษของสเตนเลสสตีลเอง จึงเหมาะสำหรับใช้งานประเภทต่าง ๆ ดังนี้:

1. งานที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิสูงมาก (High Temperature Applications)

คุณสมบัติ: สแตนเลสสตีลมีความสามารถในการทนความร้อนได้สูงกว่าเหล็กชุบสังกะสีมาก โดยทั่วไปสามารถทนอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -40°C ไปจนถึง 450°C (บางเกรดพิเศษอาจทนได้สูงกว่า 500°C) โดยยังคงความแข็งแรงและโครงสร้างไว้ได้ดี ไม่บิดงอหรือเสื่อมสภาพง่ายเมื่อเผชิญกับความร้อนจัด
เหมาะสำหรับ:
ระบบระบายไอเสีย/ควันร้อนสูง: จากเตาเผา, เตาอบอุตสาหกรรม, เครื่องจักรที่มีการเผาไหม้
ท่อส่งลมร้อนในกระบวนการผลิตที่มีอุณหภูมิสูงมาก: เช่น การอบแห้งผลิตภัณฑ์บางชนิดที่ต้องใช้อุณหภูมิสูง, การบ่มวัสดุ, การแปรรูปโลหะ
โรงไฟฟ้า: สำหรับการระบายไอเสียหรือก๊าซร้อน


2. อุตสาหกรรมที่ต้องการสุขอนามัยสูง (High Hygiene Industries)

คุณสมบัติ: สแตนเลสสตีลมีพื้นผิวที่เรียบ ทำความสะอาดง่าย ไม่เป็นสนิม ไม่เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียหรือสิ่งปนเปื้อน และไม่ทำปฏิกิริยากับสารที่สัมผัส
เหมาะสำหรับ:
โรงงานผลิตอาหารและเครื่องดื่ม: ท่อลมร้อนที่ใช้ในการอบแห้ง, การฆ่าเชื้อ, หรือการควบคุมสภาพแวดล้อมการผลิต
อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์: ระบบท่อลมที่ต้องมีความสะอาดปราศจากเชื้อ และไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนในกระบวนการผลิตยา
โรงพยาบาลและห้องปฏิบัติการวิจัย (Cleanroom/Laboratory): ระบบระบายอากาศหรือท่อลมที่ต้องการความสะอาดเป็นพิเศษ


3. งานที่มีการกัดกร่อนสูง (Corrosive Environments)

คุณสมบัติ: สแตนเลสสตีลมีความต้านทานการกัดกร่อนจากสารเคมี, กรด, ด่าง, และความชื้นได้ดีเยี่ยม เนื่องจากมีโครเมียมเป็นส่วนประกอบหลักที่สร้างชั้นฟิล์มป้องกันการเกิดออกซิเดชัน
เหมาะสำหรับ:
โรงงานเคมีและปิโตรเคมี: ท่อลมที่ต้องลำเลียงอากาศหรือไอที่มีสารเคมีปนเปื้อน หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีไอระเหยของสารเคมี
งานที่มีความชื้นสูงและไอเกลือ: เช่น โรงงานแปรรูปอาหารทะเล หรือพื้นที่ใกล้ทะเล ที่เหล็กทั่วไปอาจเกิดสนิมได้ง่าย
ระบบระบายไอเสียที่มีสารเคมี: จากกระบวนการชุบโลหะ, การบำบัดน้ำเสีย


4. งานที่ต้องการความทนทานและอายุการใช้งานยาวนาน (Durability & Longevity)

คุณสมบัติ: สแตนเลสสตีลมีความแข็งแรง ทนทานต่อการสึกหรอ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าวัสดุอื่น ๆ มาก ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหรือซ่อมบำรุงในระยะยาว
เหมาะสำหรับ:
โรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง: เพื่อลด Downtime ที่อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตจำนวนมาก
งานโครงสร้างถาวร: ที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนบ่อยครั้ง


5. งานที่ต้องการความสวยงาม (Aesthetics)

คุณสมบัติ: สแตนเลสสตีลมีพื้นผิวที่มันวาว สวยงาม และดูทันสมัย
เหมาะสำหรับ:
โรงงานหรือพื้นที่ที่ต้องการโชว์ท่อลมเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ เช่น โรงงานที่มีการจัดแสดงกระบวนการผลิต หรือห้องครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการความสะอาดและสวยงาม


สรุป
โดยรวมแล้ว ท่อลมร้อนสแตนเลสเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง, ความปลอดภัย, ความทนทานต่ออุณหภูมิและการกัดกร่อน, และสุขอนามัยที่ดีเยี่ยม แม้จะมีราคาเริ่มต้นที่สูงกว่าท่อลมร้อนชนิดอื่น ๆ แต่เมื่อพิจารณาถึงอายุการใช้งานที่ยาวนาน, ค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า, และประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้แล้ว ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวสำหรับอุตสาหกรรมเหล่านี้

หน้า: [1] 2 3 ... 23