แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 24
1
เทคนิคเปิดครัวในบ้านถ้าสร้างอาชีพ ยอดขายไหลเข้าไม่หยุด

การเปิดครัวในบ้านเพื่อสร้างอาชีพเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีใจรักในการทำอาหารและต้องการสร้างรายได้เสริมหรือรายได้หลัก ต่อไปนี้เป็นเทคนิคที่จะช่วยให้คุณเปิดครัวในบ้านได้อย่างประสบความสำเร็จและมียอดขายไหลเข้าไม่หยุด:

1. วางแผนและเตรียมความพร้อม:

กำหนดประเภทอาหาร:
เลือกประเภทอาหารที่คุณถนัดและมีความเชี่ยวชาญ
ศึกษาตลาดและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ของคุณ
พิจารณาเมนูอาหารที่มีความแตกต่างและน่าสนใจ

คำนวณต้นทุน:
คำนวณต้นทุนวัตถุดิบ ค่าบรรจุภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างละเอียด
กำหนดราคาขายที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันได้

เตรียมอุปกรณ์:
ตรวจสอบและเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารให้พร้อมใช้งาน
เลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับประเภทอาหารที่ทำ

ขอใบอนุญาต (ถ้ามี):
ตรวจสอบข้อกำหนดและขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารขายในบ้าน

2. สร้างความแตกต่างและคุณภาพ:

สูตรลับและเอกลักษณ์:
คิดค้นสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสดใหม่
ใส่ใจในรายละเอียดและรสชาติของอาหาร

ความหลากหลาย:
นำเสนอเมนูอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ
เพิ่มเมนูพิเศษหรือเมนูตามฤดูกาล
รับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงเมนูตามความต้องการของลูกค้า

บรรจุภัณฑ์:
เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงาม
ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สะดวกต่อการรับประทานและขนส่ง

3. การตลาดและบริการ:

ช่องทางออนไลน์:
สร้างเพจหรือเว็บไซต์เพื่อโปรโมทร้านค้า
ใช้โซเชียลมีเดียในการโฆษณาและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
เข้าร่วมแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย

โปรโมชั่นและส่วนลด:
จัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่
มอบส่วนลดสำหรับลูกค้าประจำ
สร้างโปรแกรมสะสมแต้มหรือบัตรสมาชิก

บริการลูกค้า:
ใส่ใจในการบริการและตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
รับฟังความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาของลูกค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ

การตลาดปากต่อปาก:
สร้างความประทับใจให้ลูกค้าเพื่อเกิดการบอกต่อ

4. การจัดการและควบคุม:

การจัดการสต็อก:
จัดการสต็อกวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ
ลดการสูญเสียและควบคุมต้นทุน

การจัดส่ง:
วางแผนการจัดส่งให้มีประสิทธิภาพและตรงเวลา
เลือกใช้บริการจัดส่งที่น่าเชื่อถือ

การเงิน:
จัดการรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ
วิเคราะห์ผลกำไรและปรับปรุงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ความสะอาด:
รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์
พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

การเปิดครัวในบ้านให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการสร้างอาชีพจากครัวที่บ้านของคุณ

2
ตรวจสุขภาพ: ไขมันพอกตับ (Fatty liver disease)

โรคนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

1. ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic fatty liver disease/AFLD) เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด*

2. ไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic fatty liver disease/NAFLD) พบในผู้ที่ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่ชัดเจน แต่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย ได้แก่ ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 ไขมัน (ไตรกลีเซอไรด์/แอลดีแอลคอเลสเตอรอล) ในเลือดสูง กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายถุง ซึ่งมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) กลุ่มอาการเมแทบอลิก (metabolic syndrome)** ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

นอกจากนี้ ยังอาจพบในผู้ป่วยตับอักเสบจากไวรัสซี ผู้ป่วยที่มีภาวะขาดไทรอยด์หรือภาวะต่อมใต้สมองทำงานน้อย ผู้ป่วยที่ผ่าตัดถุงน้ำดี หรือมีการใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์, อะมิโอดาโรน (amiodarone), ทาโมซิเฟน (tamoxifen), เมโทเทรกเซต (methotrexate) เป็นต้น

ที่พบได้น้อยแต่รุนแรง คือ ภาวะตั้งครรภ์ ซึ่งมักเกิดในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ (แพทย์จำเป็นต้องให้การรักษาและช่วยให้คลอดบุตรให้เร็วที่สุด หลังคลอดภาวะไขมันพอกตับจะหายเป็นปกติ)

*ดื่มสัปดาห์ละ 15 ดื่มมาตรฐานหรือมากกว่า (สำหรับผู้ชาย) หรือ 8 ดื่มมาตรฐานหรือมากกว่า (สำหรับผู้หญิง)   

1 ดื่มมาตรฐาน มีแอลกอฮอล์หนัก 10 กรัม ดูความหมายของแอลกอฮอล์ปริมาณ 1 ดื่มมาตรฐานในโรคความดันโลหิตสูง

มีงานวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ชายที่ดื่มแอลกอฮอล์ วันละ 40-80 กรัม และผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์ วันละ 20-40 กรัม นานกว่า 10-12 ปี มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคตับที่รุนแรง

**หมายถึง ภาวะที่มีอาการอย่างน้อย 3 จาก 5 ประการดังต่อไปนี้ (1) ภาวะอ้วนลงพุง (ผู้ชายถ้ามีรอบเอวตั้งแต่ 90 เซนติเมตรขึ้นไป ผู้หญิงถ้ามีรอบเอวตั้งแต่ 80 เซนติเมตรขึ้นไป), (2) ความดันโลหิตสูงกว่าปกติ (มีค่าตั้งแต่ 130/85 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป), (3) น้ำตาลในเลือดสูง (มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารตั้งแต่ 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป), (4) ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (ตั้งแต่ 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป) และ (5) เอสดีแอลคอเลสเตอรอล (HDL) ในเลือดต่ำ (น้อยกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตรในผู้ชาย หรือน้อยกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตรในผู้หญิง)

3
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคขาดวิตามินเอ/เกล็ดกระดี่ขึ้นตา (Vitamin A deficiency)

โรคขาดวิตามินเอ ยังพบได้ในท้องที่ชนบทบางแห่ง (พบบ่อยทางภาคอีสาน) และในเด็กที่ยากจน

ภาวะขาดวิตามินเอ ทำให้ประสาทตาส่วนที่เรียกว่าจอตา หรือเรตินา (retina) เสื่อม ทำให้เยื่อบุตาแห้งและต่อมน้ำตาไม่ทำงาน จึงอาจทำให้เด็กที่เป็นโรคนี้ตาบอดได้ ดังที่ชาวบ้านรู้จักกันดีว่าเป็น โรคเกล็ดกระดี่ขึ้นตา

สาเหตุ

มักจะพบในเด็กวัยแรกเกิดถึงอายุ 5 ปี เกิดจากการกินอาหารที่มีวิตามินเอน้อยไป เช่น กินแต่นมข้นหวาน กล้วยบดและข้าว โดยไม่ได้อาหารเสริมอื่น ๆ โรคนี้มักจะพบร่วมกันไปกับโรคขาดอาหาร บางรายอาจเป็นหลังจากเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น หัด ปอดอักเสบ) หรือท้องเดินเรื้อรัง

ในผู้ใหญ่พบได้น้อย ถ้าพบมักมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคตับเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เป็นต้น มีผลทำให้การดูดซึมวิตามินเอน้อยลง

อาการ

เริ่มแรกจะมีอาการตาฟางหรือมองไม่เห็นเฉพาะตอนกลางคืนหรือในที่มืด ๆ (แต่มองเห็นเป็นปกติในเวลากลางวัน และในที่สว่าง ๆ) เนื่องจากจอตาเริ่มเสื่อม ต่อมาเยื่อตาขาวแห้ง เมื่อเป็นมากขึ้นเยื่อตาขาวจะย่นอยู่รอบ ๆ กระจกตาดำดูคล้ายเกล็ดปลา และกระจกตาดำซึ่งปกติสะท้อนแสงวาววับ จะแห้งและไม่มีประกาย ตาขาวจะเปลี่ยนเป็นสีเทาหรือสีเงิน เห็นเป็นจุดใหญ่ทางด้านหางตา เรียกว่า จุดบิทอตส์ (Bitot’s spot) หรือเกล็ดกระดี่ อาจเป็นที่ตาทั้ง 2 ข้าง ถ้ารักษาในระยะนี้จะแก้ได้ทัน

ในเด็กเล็กมักตรวจพบเมื่อมีการอ่อนตัวของกระจกตาดำแล้ว จะพบหนังตาบวม ปิดตาแน่น ไม่ยอมลืมตา

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าปล่อยทิ้งไว้กระจกตาจะเกิดการอ่อนตัว เป็นแผล และเกิดรูทะลุ มีเชื้อโรคเข้าไปในลูกตา ทำให้เกิดการอักเสบภายในลูกตา ตาบอดได้ นอกจากนี้ เด็กที่มีภาวะขาดวิตามินเอหากเป็นหัด อาจกลายเป็นโรคหัดชนิดรุนแรงได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

เยื่อตาขาวรอบ ๆ กระจกตาดำเป็นรอยย่น กระจกตาดำขุ่นมัวไม่สะท้อนแสงและเกล็ดกระดี่ตรงด้านหางตา

ถ้าจำเป็น แพทย์จะทำการตรวจระดับวิตามินเอในเลือด

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. เมื่อเริ่มมีอาการตาบอดกลางคืน หรือเริ่มมีเกล็ดกระดี่ขึ้นตา แพทย์จะให้กินวิตามินเอชนิดแคปซูล หรือหากจำเป็นอาจใช้วิตามินเอชนิดฉีด

2. ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ แพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้กินวิตามินเอชนิดแคปซูล หรือฉีดวิตามินเอ ร่วมกับให้กินยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน ถ้าเด็กปิดตาแน่น อย่าพยายามเปิดตาเด็ก เพราะอาจทำให้กระจกตาดำแตกทะลุได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการตาฟางหรือมองไม่เห็นเฉพาะตอนกลางคืนหรือในที่มืด ๆ  ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคขาดวิตามินเอ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

โรคนี้เป็นแล้วทำให้ตาบอดได้ แต่เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารที่มีวิตามินเอสูง เช่น เนื้อ ตับ ไข่ นม ฟักทอง มะเขือเทศ มะละกอสุก ผักใบเขียว (ผักบุ้ง ใบตำลึง ใบมันสำปะหลัง) พริกที่เผ็ด ๆ จึงควรแนะนำให้เด็ก ๆ กินอาหารเหล่านี้ให้มากเป็นประจำ

ถ้าไม่แน่ใจว่าเด็กจะได้รับอาหารที่มีวิตามินเอเพียงพอ อาจให้กินวิตามินเอเสริม

ข้อแนะนำ

เด็กที่มีภาวะขาดวิตามินเอ เมื่อเป็นหัด ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาให้วิตามินเอเสริม ซึ่งจะช่วยลดความพิการและการเสียชีวิตลงได้

4
ดอกบัวในโถแก้ว: การเลือกดอกบัวที่เหมาะสมกับการทำดอกบัวแห้ง

เพื่อให้ได้ดอกบัวอบแห้งที่สวยงามและคงรูปทรงได้ดี การเลือกดอกบัวสดที่เหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่มเป็นสิ่งสำคัญมากครับ นี่คือหลักเกณฑ์และเคล็ดลับในการเลือกดอกบัวสำหรับการทำดอกบัวแห้ง:


1. เลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสม

บัวหลวง (Nelumbo nucifera): เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการทำดอกบัวแห้งในประเทศไทย เนื่องจากมีกลีบดอกที่หนา แข็งแรง และซ้อนกันหลายชั้น ทำให้คงรูปทรงได้ดีเมื่อแห้ง และสีสันมักจะคงทนกว่า

บัวฉัตร/บัวสัตตบุษย์ (Nymphaea nouchali และลูกผสม): เป็นอีกทางเลือกที่ดี ดอกมีกลีบซ้อนกันพอสมควร ขนาดกะทัดรัด ทำให้แห้งได้ดีและคงรูปทรงสวยงาม

หลีกเลี่ยงบัวสายทั่วไป: บัวสายชนิดอื่นๆ (เช่น บัวผัน บัวเผื่อน) มักมีกลีบบอบบางและละเอียดอ่อน เมื่อแห้งแล้วอาจจะหดตัวมาก สีซีดจางง่าย และรูปทรงไม่คงทนเท่าบัวหลวงหรือบัวฉัตร


2. เลือกระยะดอกที่เหมาะสมที่สุด

ดอกตูมแต่เริ่มแย้มเล็กน้อย (ตูมแย้ม): นี่คือระยะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำดอกบัวแห้ง

เหตุผล: กลีบดอกยังคงความสดและเต่งตึง ไม่ช้ำง่าย และยังคงรูปทรงของดอกที่กำลังจะบาน เมื่อแห้งแล้วจะได้ดอกบัวที่มีมิติและกลีบที่เรียงตัวสวยงาม

หลีกเลี่ยง:

ดอกตูมสนิท: อาจจะมีความชื้นสูงมากด้านใน ทำให้แห้งยากและอาจเกิดเชื้อราได้ง่าย หรือเมื่อแห้งแล้วอาจจะยังคงสภาพดอกตูมที่ปิดสนิท ไม่เห็นความงามของกลีบดอก

ดอกที่บานเต็มที่: กลีบดอกจะเริ่มอ่อนนุ่ม บอบบาง ช้ำง่าย และจะเหี่ยวเร็ว เมื่อนำไปอบแห้ง อาจได้ดอกที่บอบบางและกลีบไม่สวยงามเท่าที่ควร หรือสีซีดจางและกลีบร่วงง่าย


3. คุณภาพและความสมบูรณ์ของดอก

ความสดใหม่: เลือกดอกบัวที่เพิ่งตัดมาใหม่ๆ หรือซื้อมาในวันที่ต้องการทำทันที ยิ่งสด ดอกจะยิ่งอิ่มน้ำและคงสภาพได้ดีกว่า

ก้านแข็งแรง: เลือกดอกที่มีก้านอวบอิ่ม แข็งแรง และมีสีเขียวสด ไม่เป็นสีน้ำตาล หรืออ่อนปวกเปียก เพราะก้านที่แข็งแรงแสดงถึงการดูดน้ำที่ดี

ไม่มีตำหนิ: สำรวจดอกบัวอย่างละเอียด

กลีบดอก: ต้องไม่มีรอยช้ำ ดำ เหี่ยว รอยย่น รอยจุด หรือร่องรอยการกัดกินของแมลง

กลีบเลี้ยง/กาบดอก: ส่วนสีเขียวที่หุ้มดอกด้านนอกต้องสด ไม่ช้ำ ไม่ฉีกขาด


4. การเตรียมก่อนนำไปอบแห้ง (ย้ำอีกครั้งถึงความสำคัญ)

ตัดก้านให้สั้น/เหมาะสม: ตามวิธีการอบแห้งที่เลือกใช้

เด็ดกลีบเลี้ยงและใบล่างออก: เพื่อความสะอาดและป้องกันการเน่าเสีย

ห้ามล้างน้ำ: โดยทั่วไปไม่ควรล้างดอกบัวด้วยน้ำก่อนอบแห้ง เพราะจะเพิ่มความชื้นและทำให้กระบวนการอบแห้งยากขึ้น

การเลือกดอกบัวที่มีคุณภาพและอยู่ในระยะที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณได้ดอกบัวอบแห้งที่สวยงาม คงสีสันและรูปทรงได้นานตามต้องการครับ

5
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


6
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


7
จัดฟันบางนา: เผย 4 เคล็ดลับ ป้องกันปัญหาสุขภาพเหงือก

เชื่อว่าหลายๆคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัญหาสุขภาพเหงือก เป็นเรื่องร้ายแรง ไม่ควรนิ่งเฉยปล่อยไว้หากว่ากำลังเป็นโรคเกี่ยวกับเหงือก เนื่องจากว่าโรคต่างๆเกี่ยวกับเหงือก มักจะส่งผลเสียที่รุนแรงและลุกลามได้รวดเร็วหากไม่ได้รับการรักษา โดยปกแล้วปัญหาสุขภาพเหงือกมักจะเกิดขึ้นจากการที่มีเชื้อแบคทีเรียในช่องปากมาสะสมจนกลายเป็นคราบ โดยคราบเชื้อโรคเหล่านี้มักจะเกาะบนเหงือกและฟัน ซึ่งหากว่าไม่รีบรักษาหรือดูแลให้ดี เหงือกและฟันของคุณอาจตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงได้

แต่เหตุใดทำไมเราถึงต้องรอให้เป็นก่อน ซึ่งวันนี้จะขอพาคุณผู้อ่านมารู้จักเคล็ดลับ วิธีป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพเหงือก ซึ่งมีวิธีดังต่อไปนี้

เคล็ดลับป้องกันปัญหาสุขภาพเหงือก !

1.    ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของคุณ

อย่างที่ทราบกันดี โดยส่วนใหญ่สุขภาพเหงือกและฟันจะมีปัญหามักเกิดจากการที่เรานั้นละเลยการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปาก หากว่าสังเกตเห็นต้นเหตุของโรคเหงือก หรือว่าเป็นโรคเหงือกในระยะเริ่มต้น ทางที่ดีที่สุดคือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลความสะอาดช่องปาก โดยพยายามแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหารหรือของว่าง ใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังจากที่แปรงฟันเสร็จ และควรบ้วนน้ำด้วยน้ำยาบ้วนปากสตรูแอนตี้แบคทีเรียหลังใช้ไหมขัดฟันวันละ 2 ครั้ง ก็จะสามารถช่วยป้องกัน หรือกำจัดปัญหาสุขภาพเหงือกเบื้อต้นได้


2.    ทำความสะอาดช่องปากทุกซอกมุม

หากว่าทำตามข้อหนึ่งที่กล่าวมาได้แล้วอย่างเคร่งครัด หรือมั่นใจมากแล้วว่าดูแลสุขภาพช่องปากเป็นอย่างดี แต่เหตุใดปัญหาสุขภาพเหงือกถึงยังมีอยู่ เชื่อว่าหลายๆคนสงสัย อาจเนื่องมาจากว่าดูแลความสะอาดช้าเกินไป ทำให้คราบเศษอาหาร หรือเชื้อโรคต่างๆ สะสมเกาะแน่นจนกลายเป็นคราบหินปูนที่แข็งเกินกว่าจะทำความสะอาดเองได้นั่นเอง ซึ่งคราบหินปูนเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นให้เหงือกและฟันมีปัญหาได้ด้วยเช่นกัน ทางที่ดีหากว่าพบคราบหินปูน ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทำการกำจัดซะ เพียงเท่านี้ปัญหาสุขภาพเหงือกและฟันที่ยากจะดูแลรักษาก็จะหายไปได้อย่างรวดเร็ว


3.    เสริมสร้างการรักษาด้วยยา

หากว่าทำตามที่ผ่านมาแล้ว คุณยังเจอกับปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเหงือกและฟันอยู่ อาจจะมีสัญญาณเลือดออกตามไรฟันในขณะแปรงฟัน หรือเหงือกมีอาการบวมแดง สิ่งที่ต้องทำนอกจากรักษาความสะอาดเหมือนเดิมคือ รีบเข้าพบทันตแพทย์ เพื่อไม่ให้ปัญหากระจายตัวไปในส่วนอื่นๆ ซึ่งทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการวินิจฉัยอย่างละเอียด และเลือกรักษาตามอาการที่กำลังเป็นอยู่ โดยจะมีตั้งแต่ เจลเฉพาะจุด ที่จะให้คุณนำไปทาในช่องว่างระหว่างเหงือกและฟันที่มีอาการหรือสัญญาณเตือน ไปจนถึงน้ำยาบ้วนปากที่ทางทันตแพทย์แนะนำเป็นพิเศษ


4.    ให้มืออาชีพจัดการ

ข้อนี้ถือว่าเป็นไม้สุดท้ายในการจัดการป้องกันเหงือกที่กำลังจะติดเชื้อ หรือว่าได้ติดเชื้อแล้ว โดยหากว่ามีสัญญาณเกี่ยวกับเหงือก หรือมีอาการปวดบวม อย่างนิ่งนอนใจเด็ดขาด คุณควรเข้าพบทันตแพทย์เพื่อให้ทำการวินิจฉัย และแก้ปัญหาทีละขั้นตอน ไปทีละจุด อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการดูแลจากทันตแพทย์อย่างใกล้ชิด การเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำอย่างเคร่งครัดจึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก เพราะบางปัญหาเราอาจจะรู้เมื่อสายไปเสียแล้ว

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการจัดการกับโรคร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นกับเหงือกและฟันเบื้อต้น ซึ่งคุณสามารถอ่านแล้วลองนำไปใช้ได้ แต่สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการดูแลความสะอาดช่องปากอย่างเคร่งครัด สิ่งสำคัญอีกอย่างที่คนส่วนใหญ่มักละเลยนั่นก็คือ การเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน เป็นอย่างน้อย ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเลือกไปพบทันตแพทย์เมื่อเกิดโรครุนแรงจนทนไม่ได้ หากไปช้า บางทีอาจจะสายเกินการแก้ไข อาจจะทำให้คุณต้องสูญเสียฟันแท้ไปอย่างถาวร

แม้เพียงปัญหาเล็กๆน้อยๆ หากสังเกตเห็นควรพบทันตแพทย์โดยด่วน นอกจากจะเป็นการรักษาความปลอดภัยแล้ว หากว่าโรคร้ายต่างๆเป็นแค่ขั้นเริ่มต้นก็จะสามารถรักษาได้ง่ายและไม่สิ้นเปลืองนั่นเอง

8
ฉนวนกันความร้อนกับการประหยัดพลังงานในอุตสาหกรรม

ฉนวนกันความร้อนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนสูง ความเย็นจัด หรือการควบคุมอุณหภูมิ เพราะเป็นการลดการสูญเสียพลังงานโดยตรงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในการดำเนินงาน

หลักการทำงานของฉนวนกันความร้อนในการประหยัดพลังงาน

ฉนวนกันความร้อนคือวัสดุที่มีคุณสมบัติในการต้านทานการถ่ายเทความร้อนได้ดี ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันไม่ให้ความร้อนไหลผ่านจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ (และในทางกลับกัน) การใช้งานฉนวนกันความร้อนในอุตสาหกรรมจึงช่วย:

ลดการสูญเสียความร้อน (Heat Loss Reduction):

ในกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ความร้อนสูง เช่น หม้อไอน้ำ (Boilers), ท่อไอน้ำ, เตาเผา, ถังเก็บสารเคมีร้อน, ระบบอบแห้ง หากไม่มีฉนวนหรือมีฉนวนที่ไม่ดีพอ ความร้อนจะรั่วไหลออกสู่สภาพแวดล้อม ทำให้ต้องใช้พลังงานเชื้อเพลิงหรือไฟฟ้ามากขึ้นในการรักษาระดับอุณหภูมิที่ต้องการ

การใช้ฉนวนช่วยกักเก็บความร้อนไว้ภายในระบบ ทำให้ลดการใช้พลังงานในการผลิตความร้อนลงได้อย่างมาก

ลดการรับความร้อน (Heat Gain Reduction):

ในกระบวนการที่ต้องใช้ความเย็นจัด เช่น ห้องเย็น, ท่อส่งสารทำความเย็น, ถังเก็บก๊าซเหลว หากไม่มีฉนวนหรือมีฉนวนที่ไม่ดีพอ ความร้อนจากภายนอกจะไหลเข้าสู่ระบบความเย็น ทำให้เครื่องทำความเย็นต้องทำงานหนักขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น

การใช้ฉนวนช่วยป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ระบบความเย็น ทำให้ลดภาระการทำงานของเครื่องทำความเย็นลง

ควบคุมอุณหภูมิในกระบวนการผลิตให้คงที่:

การรักษาอุณหภูมิของของไหลหรือสารเคมีในท่อหรือถังเก็บให้คงที่ตามที่กำหนด เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การมีฉนวนที่ดีจะช่วยลดความผันผวนของอุณหภูมิ ทำให้กระบวนการผลิตมีเสถียรภาพมากขึ้น ลดของเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม

ลดภาระเครื่องปรับอากาศและระบบระบายความร้อนในอาคาร:

การติดตั้งฉนวนกันความร้อนบนหลังคา ผนัง และท่อลมในโรงงาน ช่วยลดการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคาร ทำให้ระบบปรับอากาศหรือระบบระบายความร้อนทำงานน้อยลง ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างมหาศาล

ประโยชน์ของการใช้ฉนวนกันความร้อนในอุตสาหกรรม

ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน: เป็นประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุด การลงทุนในฉนวนกันความร้อนมักมีระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ที่สั้นมาก โดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 6 เดือนถึง 2 ปี และในบางกรณีที่ระบบไม่มีฉนวนเลย อาจคืนทุนได้ภายใน 3-6 เดือน

เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต: ช่วยรักษาอุณหภูมิกระบวนการให้คงที่ ทำให้การผลิตเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความผันผวนและของเสีย

ยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์: การที่อุปกรณ์ไม่ต้องทำงานหนักเกินไปเพื่อรักษาระดับอุณหภูมิ ช่วยลดการสึกหรอและยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและระบบท่อ

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO2 Emission): การประหยัดพลังงานโดยตรงหมายถึงการลดการเผาไหม้เชื้อเพลิง ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและเป้าหมายการลดคาร์บอน

เพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน: ลดอุณหภูมิพื้นผิวของอุปกรณ์หรือท่อที่มีความร้อนสูง ป้องกันไม่ให้พนักงานสัมผัสโดนโดยตรง ลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุจากความร้อนลวก

ลดเสียงรบกวน: ฉนวนบางชนิดมีคุณสมบัติในการดูดซับเสียง ช่วยลดมลภาวะทางเสียงในโรงงานได้

ป้องกันการควบแน่น (Condensation): สำหรับท่อหรือถังที่บรรจุของเหลวเย็นจัด ฉนวนจะช่วยป้องกันการควบแน่นของไอน้ำในอากาศบนพื้นผิวเย็น ทำให้ไม่เกิดหยดน้ำที่อาจสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์

ประเภทของฉนวนกันความร้อนที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรม

ฉนวนกันความร้อนในอุตสาหกรรมมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับช่วงอุณหภูมิการใช้งาน คุณสมบัติทางเคมี และลักษณะการติดตั้ง:

ฉนวนใยหิน (Rock Wool / Mineral Wool): ทนอุณหภูมิได้สูงถึง 650-700 องศาเซลเซียส มีคุณสมบัติไม่ติดไฟ ดูดซับเสียงได้ดี นิยมใช้สำหรับงานท่อร้อน หม้อไอน้ำ เตาเผา

ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass / Glass Wool): ทนอุณหภูมิได้ประมาณ 250-540 องศาเซลเซียส น้ำหนักเบา ราคาประหยัด นิยมใช้สำหรับงานท่อน้ำร้อน ท่อน้ำเย็น ระบบปรับอากาศ

ฉนวนเซรามิกไฟเบอร์ (Ceramic Fiber): ทนอุณหภูมิได้สูงมากถึง 1,260 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า เหมาะสำหรับงานเตาหลอม อุตสาหกรรมที่ใช้ความร้อนสูงมากเป็นพิเศษ

ฉนวนแคลเซียมซิลิเกต (Calcium Silicate): ทนอุณหภูมิสูงได้ถึง 650-1000 องศาเซลเซียส มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกดได้ดี นิยมใช้ในโรงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ฉนวนโฟมต่างๆ (เช่น PIR Foam, EPS Foam): เหมาะสำหรับงานห้องเย็น คลังสินค้า หรือระบบที่ต้องการรักษาความเย็น เนื่องจากมีค่าการนำความร้อนต่ำมาก

ยางสังเคราะห์ (Elastomeric Foam / Closed-Cell Foam): เช่น NBR (ยางดำ) นิยมใช้หุ้มท่อน้ำเย็น ท่อสารทำความเย็น เพื่อป้องกันการควบแน่นและลดการสูญเสียความเย็น

การลงทุนในฉนวนกันความร้อนอุตสาหกรรม
การลงทุนในฉนวนกันความร้อนในอุตสาหกรรมเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เนื่องจากผลตอบแทนจากการประหยัดพลังงานมักจะสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอย่างมีนัยสำคัญ และยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว และส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้กับองค์กรอีกด้วย การบำรุงรักษาฉนวนเดิมให้อยู่ในสภาพดีและอัปเกรดฉนวนที่ไม่เพียงพอก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะบางการศึกษาพบว่าอย่างน้อย 10% ของพื้นผิวในโรงงานอุตสาหกรรมยังไม่มีฉนวนหรือฉนวนเสื่อมสภาพ ซึ่งหากปรับปรุงแล้วจะสามารถลดการสูญเสียพลังงานได้มากถึง 75%

9
ซ่อมบำรุงอาคาร: การเลือกซื้อกล้องวงจรปิด จะต้องดูถึงเรื่องของปัจจัยใดบ้าง

ในปัจจุบัน ตามสถานที่ต่างๆหรือแม้กระทั่งตามบ้านเรือน นิยมติดกล้องวงจรปิด เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น หรือเพื่อซื้อความสบายใจให้กับเราเมื่อเราไม่อยู่บ้านเป็นเวลานานๆ ซึ่งตัวกล้องวงจรปิด จะสามารถทำให้เราตรวจดูบ้านช่องของเราได้ ทุกที่ทุกเวลา การติดตั้งกล้องวงจรปิด ถือว่าเป็นงานด้านรักษาความปลอดภัยและดูแลทรัพย์สินเป็นอุปกรณ์ที่เรียกได้ว่ามีความจำเป็นอย่างมากกล้องวงจรปิดตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบันนั้นมีการพัฒนาเป็นอย่างมากในเรื่องของเทคโนโลยี

มีประสิทธิภาพมากขึ้นในเรื่องของ ความรวดเร็ว ความคมชัด ระยะการมองเห็น พร้อมทั้งสามารถทำการเรียกดูผ่านระบบมือถือ โดยเชื่อมต่อข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งการเลือกซื้อกล้องวงจรปิดนั้น เราจะต้องเลือกตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการนำมาใช้งาน เช่น ดูแลความปลอดภัยในตัวบ้าน โดยอาจจะใช้แบบกล้อง IP ที่สามารถใช้ตรวจสอบความเรียบร้อยได้ทันทีแม้ไม่อยู่บ้าน หรือไว้ใช้เป็นหลักฐานเมื่อยามเกิดเหตุการณ์ต่างๆ

โดยสามารถเลือกได้ตามที่ต้องการ แต่ต้องคำนึงถึงความละเอียดของกล้องด้วย แล้วนอกจากนี้ เราจะต้องดูถึงเรื่องอะไรบ้าง วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการเลือกซื้อกล้องวงจรปิด ว่าเราจะต้องดุถึงเรื่องของปัจจัยใดบ้าง เพื่อเป้นแนวทางให้กับคนที่ต้องการติดกล้องวงจรปิดได้เลือกซื้อเพื่อให้ตอบโจทย์ต่อวัตถุประสงค์ของการใช้งานให้ได้มากที่สุด

 การติดกล้องวงจรปิด เข้ามามีบทบาทช่วยในการดูแลรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินมากยิ่งขึ้น ทั้งในอาคารและบ้านของเรา ไม่ว่าจะเกิดคดีความหรือเหตุการณ์อะไรขึ้นมา กล้องวงจรปิดถือเป็นหลักฐานชิ้นเด็ดที่จะช่วยยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างไร และมีใครที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นบ้าง
ดังนั้น การเลือกกล้องวงจรปิดที่ดี และเหมาะสมกับการใช้งานย่อมนำมาซึ่งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น ซึ่งการเลือกซื้อ เราจะต้องคำนึงถึงจุดประสงค์การใช้งาน โดยดูว่าต้องการติดตั้งเพื่ออะไร เช่น เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของบ้าน เพื่อตรวจสอบสมาชิกหรือสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน หรือเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้เราได้เลือกความละเอียดของกล้องและเลนส์ที่เหมาะสม

ไม่ต้องจ่ายเงินเกินความจำเป็น นอกจากนี้ จะต้องคำนึงถึงพื้นที่ที่จะติดตั้ง เพื่อเลือกประเภทของกล้องที่มีความเหมาะสมและทนทานเหมาะกับสถานที่ พร้อมทั้งดูขนาดห้อง แสง ความสว่าง เป็นต้น เพื่อให้ป้องกันการเกิดกล้องชำรุดเสียหาย ซึ่งอาจจะทำให้เราไม่สามารถเก็บหลักฐาน หรือไม่สามารถดูแลบ้านขอเราจากที่อื่นได้ และที่สำคัญคือ ระยะของเลนส์ที่เหมาะสม เลนส์ของกล้องวงจรปิด มีตั้งแต่เลนส์ขนาด 2.8-12 มิลลิเมตร

โดยเลนส์ขนาดเล็ก จะแสดงภาพในระยะที่กว้างมากกว่า แต่มีระยะส่องถึงที่น้อยกว่า ส่วนเลนส์ที่มีขนาดกว้างจะแสดงภาพในความกว้างที่แคบกว่าแต่สามารถส่องได้ในระยะที่ไกลกว่า ดังนั้น เราจะต้องเลือกระยะของเลนส์ให้เหมาะสม เพื่อที่จะได้ดูแลได้อย่างทั่วถึงโโยไม่ต้องติดกล้องวงจรปิดเพิ่มให้สิ้นเปลือง และสุดท้ายต้องคำนึงถึงเรื่องของงบประมาณที่เหมาะสม หากมีงบประมาณไม่มากนัก

ควรเลือกกล้องระบบ wifi ที่มีความจำในตัว แต่หากมีงบประมาณมากพอสมควร สามารถเลือกกล้องแบบ IP ที่รองรับการใช้งานจำนวนมาก และเชื่อมต่อผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ เพื่อให้สามารถดูภาพจากมือถือได้อย่างไม่สะดุด อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเราต้องการติดตั้งกล้องวงจรปิดไร้สาย ควรคำนึงถึงการติดตั้งหน้างาน ที่ต้องการติดตั้งเพราะกล้องไร้สายจะเหมาะกับหน้างานที่อยู่บริเวณภายในมากกว่าบริเวณภายนอก กล้อง wifi ที่ติดตั้งนั้นต้องเชื่อมต่อกับตัวปล่อยสัญญาณ wifi ซึ่งปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ต เพื่อเชื่อมกับตัวกล้องได้อย่างไม่สะดุด และจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมา

หากต้องการติดตั้งกล้องวงจรปิด ไม่ว่าจะเป็นในอาคารขนาดใหญ่หรือตามบ้านเรือน หรืออยากใช้บริการการซ่อมบำรุงรักษาอาคาร สามารถติดต่อทางเราได้ เพราะเป้นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบต่างๆภายในอาคาร สามารถให้บริการได้อย่างมืออาชีพ มีการอบรมพนักงานเพื่อให้ความรู้ ให้สามารถรับมือกับปัญหาของลูกค้าและสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด

เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลกค้าตามเป้าหมายของเรา เพราะอยากให้ทุกคนได้มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน ภายใตความปลอดภัยของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าาของเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ไลพ์สไตล์ของคนในยุคสมัยนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

10
Doctor At Home: โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (โรคปวดข้อรูมาตอยด์ ก็เรียก) เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง พบได้ประมาณร้อยละ 1-3 ของคนทั่วไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4-5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 20-50 ปี แต่ก็พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย

สาเหตุ

โรคนี้พบว่ามีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุข้อเกือบทุกแห่งทั่วร่างกายพร้อม ๆ กัน ร่วมกับมีการอักเสบของพังผืดหุ้มข้อ เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อ เชื่อว่าเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรค หรือสารเคมีบางอย่าง (ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน) ทำให้มีการสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ที่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อในบริเวณข้อของตัวเอง เรียกว่า ปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune)

พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้มากขึ้น เช่น การมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ การสูบบุหรี่ ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน

อาการ

ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เริ่มด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูกนำมาก่อนนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วต่อมาจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็น

ส่วนน้อยอาจมีอาการของข้ออักเสบเกิดขึ้นฉับพลันภายหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคติดเชื้อ หลังผ่าตัด หลังคลอด หรืออารมณ์เครียด ซึ่งบางรายอาจมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโตร่วมด้วย

ข้อที่เริ่มมีอาการอักเสบก่อน ได้แก่ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ต่อมาจะเป็นที่ข้อไหล่ ข้อศอก

ผู้ป่วยจะมีลักษณะจำเพาะ คือมีอาการปวดข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง และข้อจะบวมแดงร้อน นิ้วมือนิ้วเท้าจะบวมเหมือนรูปกระสวย ต่อมาอาการอักเสบจะลุกลามไปทุกข้อทั่วร่างกาย ตั้งแต่ข้อขากรรไกรลงมาที่ต้นคอ ไหปลาร้า ข้อไหล ข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้วมือลงมาจนถึงข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า

บางรายอาจมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อ หรือไม่กี่ข้อ และอาจเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย (ไม่เกิดพร้อมกันทั้ง 2 ข้างของร่างกาย) ก็ได้

อาการปวดข้อและข้อแข็ง (ขยับลำบาก) มักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า ทำให้รู้สึกขี้เกียจหรือไม่อยากตื่นนอน พอสาย ๆ หรือหลังมีการเคลื่อนไหวของร่างกายจะทุเลา

บางรายอาจมีการปวดข้อตอนกลางคืน จนนอนไม่หลับ

อาการปวดข้อจะเป็นอยู่ทุกวัน และมากขึ้นทุกขณะนานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยมีบางระยะอาจทุเลาไปได้เอง แต่จะกลับกำเริบรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะมีความเครียดหรือขณะตั้งครรภ์

ถ้าข้ออักเสบเรื้อรังอยู่หลายปี ข้ออาจจะแข็งและพิการได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะโลหิตจาง ฝ่ามือแดง มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามผิวหนัง อาการปวดชาปลายมือจากภาวะเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น อาการนิ้วมือนิ้วเท้าซีดขาวและเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเวลาถูกความเย็น (Raynaud’s phenomenon) ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต ตาอักเสบ หูอื้อ หูตึง หัวใจอักเสบ หลอดเลือดแดงอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ไข้ต่ำ ๆ น้ำหนักลด เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าเป็นรุนแรงและเรื้อรังอาจทำให้ข้อพิการผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ บางรายอาจมีการผุกร่อนของกระดูก ในบ้านเราพบว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว

นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคนี้ยังอาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น (โรคคาร์พัลทูนเนล) โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคปอดเรื้อรัง (จากการอักเสบและกลายเป็นพังผืดของเนื้อเยื่อปอด)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในระยะแรกอาจตรวจไม่พบอาการชัดเจน ในระยะที่เป็นมากอาจพบข้อนิ้วมือนิ้วเท้าบวมเหมือนรูปกระสวย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจเลือดจะพบค่าอีเอสอาร์ (ESR)* และ c-reactive protein สูง และมักจะพบรูมาตอยด์แฟกเตอร์ (rheumatoid factor) และสารภูมิต้านทานที่มีชื่อว่า "Anti-cyclic citrullinated peptide (anti-CCP) antibodies"

การตรวจเอกซเรย์ข้อจะพบมีการสึกกร่อนของกระดูก และความผิดปกติของข้อ

นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการตรวจอัลตราซาวนด์และถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค

*อีเอสอาร์ (ESR) ย่อจาก erythrocyte sedimentation rate หมายถึง อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง ค่าปกติต่ำกว่า 20 มม. ใน 1 ชั่วโมง

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

เริ่มแรกจะให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก นาโพรเซน)

ยานี้ต้องกินติดต่อกันทุกวัน นานเป็นเดือน ๆ หรือปี ๆ จนกว่าอาการจะทุเลา

ขณะเดียวกันก็จะให้การรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมไปด้วย เช่น การใช้น้ำร้อนประคบ การแช่หรืออาบน้ำอุ่น ซึ่งมักจะแนะนำให้ทำในตอนเช้านาน 15 นาที

ผู้ป่วยควรพยายามขยับข้อต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการเจ็บปวดลงได้

แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทำการฝึกกายบริหารในท่าต่าง ๆ ซึ่งควรทำเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ข้อทุเลาความฝืดและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ผู้ป่วยควรหาเวลาพักผ่อน สลับกับการทำงาน หรือการออกกำลังกายเป็นพัก ๆ

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และอาจต้องเข้าเฝือกเพื่อให้ข้อที่ปวดได้พักอย่างเต็มที่

ถ้าให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ไม่ได้ผล อาจต้องให้สเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบ แต่จะให้กินเป็นระยะสั้น

นอกจากนี้ แพทย์จะพิจารณาให้ยากลุ่ม Disease-modifying antirheumatic drugs (DMARDs) ที่ช่วยชะลอความรุนแรงของโรค และป้องกันภาวะข้อถูกทำลาย เช่น ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine), เมโทเทรกเซต (methotrexate), ซัลฟาซาลาซีน (sulfasalazine), ไซโคลสปอริน (cyclosporin), เลฟลูโนไมด์ (leflunomide) เป็นต้น ซึ่งมักจะได้ผลค่อนข้างดี และช่วยให้โรคมีระยะสงบ ไม่มีอาการ (remission) ไปได้

หากไม่ได้ผล แพทย์อาจให้ยาต้านการอักเสบกลุ่มใหม่ ๆ (เช่น etanercept, infliximab, rituximab, baricitinib, tofacitinib) ซึ่งมักให้ร่วมกับเมโทเทรกเซต (methotrexate)

ในรายที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล และข้อถูกทำลายผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดแก้ไข รวมทั้งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม (joint replacement) เพื่อให้กลับมาใช้การได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดข้อและข้อแข็ง (ขยับลำบาก กำมือลำบาก) ซึ่งมักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า หรือมีอาการปวดข้อนิ้วมือทุกข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง  ข้อนิ้วมือบวมเหมือนรูปกระสวย หรือมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อ หรือไม่กี่ข้อ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หมั่นบริหารข้อตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ขยับข้อต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง, ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ, แช่หรืออาบน้ำอุ่น
    ลดน้ำหนักถ้ามีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
    ออกกำลังกายที่ไม่รุนแรง เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ รำมวยจีน เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีระยะสงบ (ไม่มีอาการ) และอาการข้ออักเสบกำเริบสลับกันไป ส่วนน้อยที่อาจหายขาด และส่วนน้อยที่จะเป็นรุนแรงเกิดข้อพิการในเวลารวดเร็ว ผู้ป่วยควรติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง การใช้ยา การรักษาทางกายภาพบำบัด การกำหนดเวลาพักผ่อน ทำงาน และออกกำลังกายให้พอเหมาะ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำงานได้เป็นปกติส่วนใหญ่

2. หัวใจของการรักษาโรคอยู่ที่การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ กล่าวคือ จะต้องพยายามเคลื่อนไหวข้อและฝึกกายบริหารเป็นประจำทุกวัน อย่าอยู่นิ่ง ๆ เพราะยิ่งอยู่นิ่งข้อยิ่งฝืดแข็ง และขยับยากยิ่งขึ้น

3. ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาชุดกินเอง เพราะถึงแม้จะช่วยให้อาการทุเลาได้ แต่ก็อาจเกิดโทษจากยาสเตียรอยด์ หรือยาอันตรายอื่น ๆ ที่ผสมอยู่ในยาชุด

4. เนื่องจากยาที่ใช้รักษาโรคนี้ส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงในลักษณะต่าง ๆ กัน ผู้ป่วยควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาและผลข้างเคียงของยาที่ใช้ หากมีอาการที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียง (เช่น ปวดแสบ ปวดจุกแน่นท้อง ถ่ายอุจจาระดำ เป็นไข้ หรือเป็นโรคติดเชื้อบ่อย) เป็นต้น ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

5. ชาวบ้านอาจมีความสับสนในคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้เรียกเกี่ยวกับอาการปวดข้อ เช่น คำว่า รูมาติสซั่ม (rheumatism) ซึ่งหมายถึงภาวะต่าง ๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บปวด ปวดเมื่อย หรือปวดล้าของข้อ เส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงเป็นคำที่ใช้เรียกอาการปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อโดยรวม ๆ ซึ่งสามารถแบ่งแยกสาเหตุได้มากมาย (ตรวจอาการปวดข้อ) ดังนั้น รูมาติสซั่ม (โรคปวดข้อ) จึงอาจมีสาเหตุจากข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ไข้รูมาติก โรคเกาต์ และอื่น ๆ ไม่ได้หมายถึงโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์โดยเฉพาะ

11
หมอประจำบ้าน: เอสแอลอี (SLE)

เอสแอลอี เป็นชื่อเรียกทับศัพท์ของอักษรย่อในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีคำเต็มว่า systemic lupus erythematosus

โรคนี้มักจะมีความผิดปกติของอวัยวะได้หลายระบบ (เช่น ผิวหนัง ข้อกระดูก ไต ปอด หัวใจ เลือด สมอง เป็นต้น) พร้อม ๆ กัน และอาจมีความรุนแรงทำให้พิการหรือตายได้

โรคนี้พบประปรายได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบมากในช่วงอายุ 20-45 ปี และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 10 เท่า

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีบางอย่าง ทำให้มีการสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเนื้อเยื่อต่าง ๆ จึงจัดเป็นโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune) เช่นเดียวกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

บางครั้งอาจพบมีสาเหตุกระตุ้นให้อาการกำเริบ เช่น ยาบางชนิด (เช่น ซัลฟา ไฮดราลาซีน เมทิลโดพา โปรเคนเอไมด์ ไอเอ็นเอช คลอร์โพรมาซีน ควินิดีน เฟนิโทอิน ไทโอยูราซิล) การถูกแดด การกระทบกระเทือนทางจิตใจ การตั้งครรภ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังสันนิษฐานว่า อาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง (เนื่องจากพบมากในหญิงวัยหลังมีประจำเดือน และก่อนวัยหมดประจำเดือน) และกรรมพันธุ์ (พบมากในคนที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้)

อาการ

ที่พบได้บ่อยคือ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อยตามตัว ปวดและบวมตามข้อต่าง ๆ ซึ่งโดยมากจะเป็นตามข้อเล็ก ๆ (เช่น ข้อนิ้วมือ นิ้วเท้า) ทั้ง 2 ข้างคล้าย ๆ กับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (แต่ต่างกันที่ไม่มีลักษณะหงิกงอ ข้อพิการ) ทำให้กำมือลำบาก

อาการเหล่านี้จะค่อยเป็นค่อยไปเป็นแรมเดือน

นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมักจะมีผื่นหรือฝ้าแดงขึ้นที่ข้างจมูกทั้ง 2 ข้าง ทำให้มีลักษณะเหมือนปีกผีเสื้อ เรียกว่า ผื่นปีกผีเสื้อ (butterfly rash)

บางรายมีอาการแพ้แดด คือ เวลาไปถูกแดด ผิวหนังจะมีผื่นแดงเกิดขึ้น และผื่นแดงที่ข้างจมูก (ผื่นปีกผีเสื้อ) จะเกิดขึ้นชัดเจน อาการไข้และปวดข้อจะเป็นรุนแรงขึ้น

บางรายอาจมีจุดแดง (petechiae) หรือมีประจำเดือนมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอาการระยะแรกของโรคนี้ก่อนมีอาการอื่น ๆ ให้เห็นชัดเจน บางครั้งแพทย์อาจวินิจฉัยว่าเป็นไอทีพี

บางรายอาจมีอาการหูอื้อ หูตึง ผมร่วงมาก มีจ้ำแดง ๆ ขึ้นที่ฝ่ามือ นิ้วมือนิ้วเท้าซีดขาวและเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเวลาถูกความเย็น (Raynaud’s phenomenon) หรือมีภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอาการบวมทั้งตัว (จากไตอักเสบ) หายใจหอบ (จากปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด หรือหัวใจวาย) ชีพจรเต้นเร็วหรือไม่เป็นจังหวะ (จากหัวใจอักเสบ)

ในรายที่มีการอักเสบของหลอดเลือดในสมอง อาจทำให้มีอาการทางประสาท เช่น เสียสติ ซึม เพ้อ ประสาทหลอน แขนขาอ่อนแรง ตาเหล่ ชัก หมดสติ และอาจตายภายใน 3-4 สัปดาห์

ส่วนมากจะมีอาการกำเริบ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นปี ๆ

ภาวะแทรกซ้อน

อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่าง ๆ อาทิ

    ไต เช่น ไตอักเสบ ไตวาย
    ปอด เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ ปอดอักเสบ เลือดออกในปอด ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion)
    หัวใจ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardial effusion) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจวาย
    เลือดและหลอดเลือด เช่น โลหิตจาง เลือดออกง่าย หลอดเลือดอักเสบ ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง
    สมองและระบบประสาท เช่น สมองอักเสบ (ทำให้มีอาการชัก สับสน โรคจิต) โรคลมอัมพาต (สโตร๊ก) จากลิ่มเลือดอุดตันในสมอง ความจำเสื่อม ภาวะซึมเศร้า ไขสันหลังอักเสบ
    กระดูก เช่น กระดูกพรุน กระดูกหัก ซึ่งเป็นแทรกซ้อนจากตัวโรคเองและการใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษา
    การติดเชื้อ เช่น โรคติดเชื้อของผิวหนัง ทางเดินหายใจ และทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำจากตัวโรคและการใช้ยากดภูมิคุ้มกันในการรักษา
    มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผู้ที่เป็นโรคนี้ยังอาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าคนทั่วไป
    หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้ อาจมีอาการกำเริบมากขึ้น และเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ภาวะครรภ์เป็นพิษ ทารกคลอดก่อนกำหนด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในรายที่มีอาการเล็กน้อย ในระยะแรกอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

ระยะต่อมาจะพบไข้ ผื่นปีกผีเสื้อที่แก้ม ข้อนิ้วมือนิ้วเท้าบวมแดง ผมร่วงผมบาง อาจคลำพบต่อมน้ำเหลืองโต ตับ ม้ามโต

นอกจากนี้อาจพบอาการอื่น ๆ เช่น จุดแดงจ้ำเขียวตามตัว ลมพิษ ภาวะซีด ตาเหลือง (ดีซ่าน) บวม ชีพจรเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หายใจหอบเร็ว เป็นต้น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด อาจพบว่ามีภาวะโลหิตจาง จำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ ค่าอีเอสอาร์ (ESR) สูง พบแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (antinuclear antibody/ANA)

ตรวจเลือดดูการทำงานของตับและไต อาจพบว่าผิดปกติ

ตรวจปัสสาวะอาจพบสารไข่ขาวและเม็ดเลือดแดง

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจเอกซเรย์ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจพิเศษอื่น ๆ

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจชิ้นเนื้อผิวหนังและไต

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ในรายที่เป็นไม่รุนแรง (เช่น มีไข้ ปวดข้อ มีผื่นแดงขึ้นที่หน้า) อาจเริ่มให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก ไพร็อกซิแคม นาโพรเซน) ถ้าไม่ได้ผลอาจให้ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) เพื่อช่วยลดอาการเหล่านี้

ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะให้สเตียรอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน ติดต่อกันเป็นสัปดาห์หรือหลายเดือน เพื่อลดการอักเสบของอวัยวะต่าง ๆ เมื่อดีขึ้นจึงค่อย ๆ ลดยาลง และให้ในขนาดต่ำควบคุมอาการไปเรื่อย ๆ อาจนานเป็นแรมปี หรือจนกว่าจะเห็นว่าปลอดภัย ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องให้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น เมโทเทรกเซต (methotrexate), ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide), อะซาไทโอพรีน (azathioprine), ไมโคฟีโนเลตโมเฟทิ (mycophenolate mofeti) เป็นต้น บางรายที่ดื้อต่อยากลุ่มอื่น แพทย์อาจให้ยากลุ่มใหม่ เช่น ไรทูซิแมบ (rituximab), เบลิมูแมบ (belimumab)

นอกจากนี้ อาจให้ยารักษาตามอาการและภาวะที่พบ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ ยาบำรุงโลหิต (ถ้าซีด) ยาปฏิชีวนะ (ถ้ามีการติดเชื้อ) เป็นต้น

ผลการรักษา ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและตัวผู้ป่วย บางรายอาจมีโรคแทรกซ้อน และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในเวลาไม่นาน

บางรายอาจมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว ถ้าผู้ป่วยสามารถมีชีวิตรอดจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้เกิน 5 ปี โรคก็จะไม่กำเริบรุนแรง และค่อย ๆ สงบไปได้ นาน ๆ ครั้งอาจมีอาการกำเริบ แต่อาการมักจะไม่รุนแรง และผู้ป่วยสามารถมีชีวิตเยี่ยงคนปกติได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้เรื้อรัง (นานเกิน 7 วัน) ปวดบวมตามข้อนิ้วมือและกำมือลำบาก มีผื่นหรือฝ้าแดงที่ข้างจมูก จุดแดงตามผิวหนัง หน้าตาซีด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเอสแอลอี ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2. ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

3. ควรปฏิบัติตัว ดังนี้

    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    หาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ ฝึกโยคะ รำมวยจีน เป็นต้น
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เป็นต้น ควรออกกำลังแต่พอประมาณ อย่าให้หนักเกินไป
    บำรุงร่างกายด้วยอาหารสุขภาพ กินอาหารครบ 5 หมู่อย่างถูกสัดส่วนตามหลักธงโภชนาการ
    หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด เพราะจะกระตุ้นให้ผื่นที่ผิวหนังกำเริบมากขึ้น ถ้าจำเป็นต้องอยู่กลางแจ้ง ควรกางร่ม สวมหมวก หรือใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว
    งดบุหรี่ เพื่อสุขภาพและป้องกันโรคแทรกซ้อนทางปอด หัวใจและหลอดเลือด
    งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน และการมีปฏิกิริยากับยาที่รักษา
    ถ้ามีโอกาส ควรเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มมิตรภาพบำบัดสำหรับกลุ่มผู้ป่วยโรคนี้ เพื่อเรียนรู้และดูแลช่วยเหลือ เสริมกำลังใจกัน
    ผู้ป่วยมักมีภูมิคุ้มกันต่ำ ควรพยายามหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เช่น อย่ากินอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด อย่าเข้าใกล้คนที่ไม่สบาย อย่าเข้าไปในที่ที่มีคนแออัด เป็นต้น
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง เพราะอาจมีผลทำให้โรคกำเริบ หรือเกิดปฏิกิริยาด้านลบกับยาที่ใช้รักษาอยู่ก่อน
    สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้โรคกำเริบมากขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อผู้ป่วยและทารกในครรภ์ได้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการคุมกำเนิด จนกว่าโรคเข้าสู่ระยะสงบ และแพทย์เห็นว่าสามารถตั้งครรภ์ได้

4. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบาย เช่น มีไข้สูง ปวดท้องมาก ท้องเดินมาก อาเจียนมาก เจ็บหน้าอก บวม หน้าตาซีด อ่อนเพลีย แขนขาชาหรืออ่อนแรง เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรหาทางป้องกันไม่ให้โรคกลายเป็นรุนแรงด้วยการดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้สามารถแสดงอาการได้หลายแบบ เช่น มีไข้เรื้อรังคล้ายมาลาเรีย เอดส์ วัณโรค มีจุดแดงขึ้นคล้ายไอทีพี บวมคล้ายโรคไตเนโฟรติก ชักหรือหมดสติคล้ายสมองอักเสบ เสียสติ เพ้อคลั่งคล้ายคนวิกลจริต เป็นต้น ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นอาการของระบบใดโดยไม่ทราบสาเหตุควรนึกถึงโรคนี้ไว้เสมอ

2. โรคนี้ถึงแม้จะมีความรุนแรง แต่ถ้าติดต่อรักษากับแพทย์เป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และมีชีวิตยืนยาวได้

12
เที่ยวไทย นิทรรศการ ไดโนเสาร์ 2568 Thainosaur ท่าพิพิธภัณฑ์ ที่ ท่าช้าง วังหลัง สุดตื่นเต้น

กรกฎาคม 2568 นี้ ชวนกันไปตื่นตาตื่นใจกับ โลกแห่งไดโนเสาร์ ใน นิทรรศการ ไดโนเสาร์ พันธุ์ไทย "Thainosaur" ไทยโนซอร์ 2568 นิทรรศการสุดยิ่งใหญ่ ที่ รวมไดโนเสาร์ และสัตว์ดึกดำบรรพ์สายพันธุ์ไทย ไว้ครบที่สุด ตามไปผจญภัยกันได้ที่ ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) โครงการท่าช้าง วังหลัง วันที่ 1 กรกฎาคม - 2 พฤศจิกายน 2568 นี้ได้เลย!

     คนรักไดโนเสาร์ Dino-Lovers เตรียมตัวมาตื่นเต้นกับจินตนาการสุดอะเมซิ่งใจใน "Thainosaur" ไทยโนซอร์ นิทรรศการไดโนเสาร์พันธุ์ไทย ที่รวบรวมไดโนเสาร์ซึ่งเคยโลดแล่นบนแผ่นดินสยาม มาไว้แบบครบเครื่องที่สุด!

      พร้อมเปิดประตูต้อนรับทุกคนเข้าสู่โลกล้านปี ให้มาผจญภัยในโลกของไดโนเสาร์ และสัตว์ดึกดำบรรพ์ในเมืองไท ที่จะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปสู่แผ่นดินสยามเมื่อหลายล้านปีก่อนอย่างน่าตื่นเต้น!

     ในทุกย่างก้าวของงานราวกับได้ย้อนเวลากลับไปใน ยุคทองของไดโนเสาร์ครองโลก เราจะได้สัมผัสกับประสบการณ์สุดมหัศจรรย์ใน โลกดึกดำบรรพ์ ชนิดที่แฟนพันธุ์แท้ไดโนเสาร์ และสัตว์ดึกดำบรรพ์ไม่ควรพลาดเลยทีเดียวค่ะ

นิทรรศการ THAINOSAUR ไม่ได้เพียงแค่การจัดแสดงซากดึกดำบรรพ์ และร่องรอยบรรพชีวินเท่านั้น แต่คือผลพวงจากความฝันและความหลงใหลที่มีต่อโลกดึกดำบรรพ์ของ "คุณพิริยะ วัชจิตพันธ์" ผู้ก่อตั้งท่าพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งยังเป็นนักสะสมผลงานศิลปะและนักสะสมซากฟอสซิลตัวยงของไทย

      จากความหลงใหลใน ซากฟอสซิลไดโนเสาร์ และ สัตว์ดึกดำบรรพ์ ผลักดันให้เขาศึกษา ค้นคว้า และออกเดินทางไปตามงาน Fossil Fairs ต่างๆ ทั่วอเมริกา เพื่อตามหาสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ เป็นผลงานที่เกิดจากความทุ่มเท และความปรารถนาที่จะจุดประกายความสนใจในวิทยาศาสตร์ และมรดกทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่แก่คนทุกเพศทุกวัย ให้เข้ามาสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของโลกดึกดำบรรพ์ และร่วมภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์อันยาวนานของผืนแผ่นดินไทยนั่นเอง
ไฮไลท์ภายในงาน

Thainosaur นิทรรศการที่รวบรวมเรื่องราวของไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่ขุดค้นพบในเมืองไทย  จัดแสดง "มหายุคพาลีโอโซอิก" (Paleozoic Era) มหายุคก่อนไดโนเสาร์จะครองโลก

 "มหายุคมีโซโซอิก" (Mesozoic Era) หรือ ยุคทองของไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ คือ

    🍀 ยุคไทรแอสซิก (Triassic Period)
    🍀 ยุคจูแรสซิก (Jurassic Period)
    🍀 ยุคครีเทเชียส (Cretaceous Period)

      ไปจนถึง "มหายุคซีโนโซอิก" (Cenozoic Era) ยุคที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมท่องตระเวนไปทั่วประเทศไทย พร้อมนำเสนอข้อมูลบรรพชีวินที่ครบถ้วนและถูกต้องที่สุด ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน มาสัมผัสความพิเศษกันได้เลยค่ะ

     โดยเรื่องราวไดโนเสาร์ที่น่าสนใจทั้งหมดจัดแสดงในอาคาร 3 ชั้นของ ท่าพิพิธภัณฑ์ เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวตล้านปี โดยแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ เริ่มจาก
ชั้น 1 จัดแสดง "มหายุคพาลีโอโซอิก" (Paleozoic Era)

       รวมสัตว์ดึกดำบรรพ์อายุเก่าแก่กว่าไดโนเสาร์ และ "ยุคไทรแอสซิก" (Triassic Period) ช่วงเวลาที่ ไดโนเสาร์ซอโรพอด อย่าง อีสานโนซอรัส ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกบนโลก
ชั้น 2 จัดแสดงยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของไดโนเสาร์คือ "ยุคจูแรสซิก" (Jurassic Period)

      ยุคจูแรสซิก เป็นยุคที่มี ไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ และ "ชาละวัน ไทยแลนดิคัส" (Chalawan thailandicus) พญาจระเข้ขนาด 8 เมตร และ "ยุคครีเทเชียส" (Cretaceous Period) ซึ่งรวมไดโนเสาร์ที่มีชื่อเสียงของไทย ทั้ง สยามโมไทรันนัส, ภูเวียงโกซอรัส, กินรีไมมัส รวมไปถึง สยามโมซอรัส
ชั้น 3 จัดแสดง โครงกระดูกไดโนเสาร์จริง และ จำลอง ช่วงเวลาสุดท้ายของไดโนเสาร์ไทย

      ไฮไลท์อยู่ที่โครงกระดูก ภูเวียงโกซอรัส และ สยามแรพเตอร์ รวมถึงไดโนเสาร์กินพืชที่เรารวบรวมมาได้ เพื่อบอกเล่ายุคสุดท้ายก่อนการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของไดโนเสาร์
ชีวิตดึกดำบรรพ์ ใน แอนิเมชันสมจริง

      ทุกคนมาก้าวข้ามขีดจำกัดของตำราเรียน และฟอสซิลที่เคยหยุดนิ่ง ผ่าน นิทรรศการ THAINOSAUR ที่บอกเล่าเรื่องราวของเพื่อนตัวยักษ์นี้โดยการใช้เทคโนโลยีแอนิเมชัน เพื่อจำลองภาพเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของไดโนเสาร์พันธุ์ไทย

      ซึ่งทั้งหมดได้อ้างอิงจากหลักฐานทางบรรพชีวินวิทยาที่แม่นยำ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์ นักธรณีวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านแอนิเมชันของไทย เพื่อสร้างเหล่าไดโนเสาร์เสมือนจริงขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ เหมือนพวกมันกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ละเอียดทุกผิวสัมผัส สมจริงทุกการเคลื่อนไหว สุดประทับใจมากๆ เลยทีเดียว!
สุดจึ้ง! ไดโนเสาร์จำลองขนาดเท่าจริง

      นอกจากนี้ หัวใจสำคัญของนิทรรศการคือ การจัดแสดงหุ่นจำลองขนาดเท่าจริง (Life-sized Model) ของไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบในประเทศไทย ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นจากการศึกษาข้อมูลงานวิจัยทางบรรพชีวินวิทยาล่าสุดอย่างละเอียด

      ทุกชิ้นถูกปั้นและลงสีด้วยความประณีตสูงสุด เพื่อเก็บรายละเอียดทางกายภาพ ทั้งพื้นผิวหนัง กล้ามเนื้อ และร่องรอยบาดแผล ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จริงๆ ถือเป็นการนำเสนอหุ่นจำลองไดโนเสาร์พันธุ์ไทยที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและสมจริงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อให้เราได้มาสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตยุคล้านปีอย่างใกล้ชิด

ไดโนเสาร์จำลองขนาดเท่าจริง Thainosaur

แฟนพันธุ์แท้ ไดโนเสาร์ ทำไมต้องมางานนี้ ?


1. ซากดึกดำบรรพ์ของแท้ และเสมือนจริงที่สุด

     ชมความยิ่งใหญ่ของ โครงกระดูกไดโนเสาร์ของจริง ที่ขุดค้นพบในประเทศไทย และหาชมยาก ทั้งซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ กระดูกไดโนเสาร์จริง และโครงสร้างจำลองที่ถอดแบบด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยให้สมจริงที่สุด เพื่อให้เราได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตยุคล้านปีอย่างใกล้ชิด


2. แอนิเมชันสุดล้ำ

     ตื่นตาตื่นใจไปกับ แอนิเมชันที่สร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักฐานทางบรรพชีวินวิทยาที่แม่นยำ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์ นักธรณีวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านแอนิเมชันของไทย รวมไปถึงเหล่าไดโนเสาร์เสมือนจริงที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ เหมือนพวกมันกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ละเอียดทุกผิวสัมผัส สมจริงทุกการเคลื่อนไหว


3. คลังความรู้แน่น

       เรียนรู้เรื่องราวของไดโนเสาร์สายพันธุ์ไทยแต่ละชนิด ตั้งแต่ สยามโมไทรันนัส ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน อิสานโนซอรัส และสัตว์ดึกดำบรรพ์อีกมากมาย ที่เดียวครบทั้งความสนุกและความรู้กลับบ้านแบบเต็มๆ

ค่าบัตรเข้าชม นิทรรศการ Thainosaur

🦖 คนไทย :

    เด็ก 150 บาท
    ผู้ใหญ่ 250 บาท

🦕 ชาวต่างชาติ :

    เด็ก 250 บาท
    ผู้ใหญ่ 350 บาท

    ⏰จัดแสดง : วันที่ 1 กรกฎาคม - 2 พฤศจิกายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.
    📍สถานที่ : ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) โครงการท่าช้าง วังหลัง

13
อาการของโรคกล่องเสียงอักเสบ (Laryngitis)

กล่องเสียง (larynx) เป็นส่วนที่อยู่ถัดลงไปจากคอหอย (pharynx) และอยู่ตรงส่วนบนของท่อลม (trachea)

การอักเสบของกล่องเสียงเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย ส่วนมากจะไม่มีอาการรุนแรงและหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์


สาเหตุ

การอักเสบของกล่องเสียงมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมากจะเกิดร่วมกับไข้หวัด เจ็บคอ หรือหลอดลมอักเสบ ส่วนน้อยที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

บางครั้งอาจเกิดจากการระคายเคือง เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้เสียงมาก (เช่น ร้องเพลง สอนหนังสือ เป็นต้น) หรือเกิดจากการระคายเคืองจากน้ำย่อยในผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน


อาการ

ที่สำคัญ คือเสียงแหบแห้ง บางรายอาจเป็นมากจนไม่มีเสียง อาจรู้สึกเจ็บคอเวลาพูด

บางรายอาจมีอาการไข้ เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอร่วมด้วย

โดยทั่วไป มักเป็นอยู่ไม่เกิน 7 วัน ถ้าเกิดจากการระคายเคืองมักมีอาการเสียงแหบเรื้อรัง


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากมักหายได้เอง ส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดเชื้อที่พบร่วม อาจทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อ อาจตรวจพบมีไข้ น้ำมูกไหล หรือคอแดงร่วมด้วย

บางรายอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เกิดจากการระคายเคือง

ในรายที่มีอาการเรื้อรัง หรือสงสัยมีความผิดปกติของกล่องเสียงหรือโรคกรดไหลย้อน แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจกล่องเสียง (laryngoscopy) ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร (gastroscopy)


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ

2. เฉพาะในรายที่สงสัยจะมีการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น มีเสมหะเหลืองหรือเขียว หรือคอแดงจัด ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน โคอะม็อกซิคลาฟ อีริโทรไมซิน หรือร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น)

3. ถ้ามีอาการหอบ แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจมีสาเหตุจากคอตีบ หรือครู้ป

4. ถ้าเสียงแหบเป็นอยู่นานกว่า 3 สัปดาห์ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุให้แน่ชัด และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์

ถ้าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ก็มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบแทรกซ้อน


การดูแลตนเอง

ในรายที่มีเสียงแหบ โดยที่สุขภาพทั่วไปดี กินอาหารและทำงานได้เป็นปกติ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    พักการใช้เสียง ควรหยุดพูดรวมทั้งการกระซิบ จนกว่าอาการจะดีขึ้น
    งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ วันละ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร)
    สูดดมไอน้ำอุ่นบ่อย ๆ
    ถ้ามีไข้ กินยาลดไข้-พาราเซตามอล*

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้เกิน 4 วัน ไข้สูงตลอดเวลา หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวทุกครั้งนานเกิน 24 ชั่วโมง
    มีอาการเจ็บคอมาก หรือหายใจลำบาก
    คลำได้ก้อนที่ข้างคอ
    มีอาการเสียงแหบนานเกิน 3 สัปดาห์
    ดูแลตนเอง 1 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้น
    มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก
    มีประวัติการแพ้ยา หรือหลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

ควรหาทางป้องกันตามสาเหตุที่ทำให้เสียงแหบ อาทิ

    พักการใช้เสียง ในรายที่เกิดจากการใช้เสียงมาก
    งดบุหรี่/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าเป็นสาเหตุของอาการเสียงแหบ
    ในรายที่เกิดจากไข้หวัด ก็หาทางป้องกันไม่ให้เป็นหวัด
    ในรายที่เกิดจากโรคกรดไหลย้อน ควรดูแลรักษาโรคนี้ไม่ให้กำเริบบ่อย (ดู “โรคกรดไหลย้อน”)

ข้อแนะนำ

1. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

2. อาการเสียงแหบมักพบในผู้ที่เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอ ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด และผู้ที่ใช้เสียงมาก (เช่น ครู นักเทศน์ นักร้อง เป็นต้น) โดยมากจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วัน เมื่อได้รับการดูรักษาแล้ว เสียงควรจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

แต่ถ้าพบว่ามีอาการเสียงแหบติดต่อกันนานกว่า 3 สัปดาห์ ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น

    ปุ่มเนื้อของสายเสียง (vocal cord nodules) เป็นปุ่มเนื้องอกเล็ก ๆ ที่เติบโตจากเซลล์เยื่อบุผิว (epithelium) ของสายเสียง มีสาเหตุมาจากการใช้เสียงมากเกิน เช่น ครู นักเทศน์ นักร้อง เป็นต้น การพักใช้เสียงเป็นเวลาหลายสัปดาห์อาจทำให้ปุ่มยุบหายไปได้เอง ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องตัดออก ผู้ที่เป็นโรคนี้แพทย์จะฝึกการใช้เสียง (voice therapy) ให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้เป็นซ้ำอีก
    ติ่งเนื้อเมือกของสายเสียง (vocal cord polyps) เป็นเนื้องอกของเซลล์เยื่อเมือก (mucous membranes) ของสายเสียง เกิดจากภาวะภูมิแพ้ หรือการระคายเคืองเรื้อรัง (เช่น สูบบุหรี่) มักต้องรักษาด้วยการผ่าตัดติ่งเนื้อออกไป
    หูดกล่องเสียง (laryngeal papillomatosis) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า human papillomavirus (HPV) ทำให้เกิดเนื้องอก (หูด) ตรงสายเสียงและกล่องเสียง ทำให้มีเสียงแหบเรื้อรัง ถ้าก้อนโตอาจอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และจะหายได้เองเมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว มักจะต้องรักษาด้วยการตัดออก
    โรคกรดไหลย้อน ทำให้มีอาการเจ็บคอเสียงแหบ หรือไอเรื้อรัง มักเป็นมากหลังตื่นนอน (ดู “โรคกรดไหลย้อน”)
    แผลสายเสียง (contact ulcer of vocal cord) พบในผู้ที่ใช้เสียงมากเกิน สูบบุหรี่ ไอเรื้อรัง หรือผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ทำให้มีอาการเสียงแหบ เจ็บเวลาพูดหรือกลืน ให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น ถ้าเกิดจากการใช้เสียง ต้องพักการใช้เสียงนาน 6 สัปดาห์ และฝึกการใช้เสียงให้ถูกต้อง ถ้าเกิดจากโรคกรดไหลย้อนก็ต้องให้ยาลดการสร้างกรด เป็นต้น
    มะเร็งกล่องเสียง พบมากในผู้ชายสูงอายุที่มีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน
    สายเสียงเป็นอัมพาต (vocal cord paralysis) อาจเกิดจากโรคทางสมอง (เช่น เนื้องอกสมอง อัมพาต) หรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ โดยตัดถูกเส้นประสาท (laryngeal nerve) ที่ควบคุมการทำงานของสายเสียง ซึ่งมักจะทำให้เกิดอาการเสียงแหบอย่างถาวร
    วัณโรคกล่องเสียง (tuberculous laryngitis) ทำให้มีอาการเสียงแหบเรื้อรัง อาจมีอาการของวัณโรค (เช่น ไข้เรื้อรัง ไอเรื้อรัง น้ำหนักลด) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

14
การเล่นกีฬา ในระหว่างการจัดฟันเด็ก สามารถทำได้หรือไม่

อย่างที่หลายๆท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า ในยุคสมัยนี้มีนวัตกรรมทางทันตกรรมที่ล้ำสมัย โดยมีชื่อว่า EF Line อุปกรณ์สำคัญในการจัดฟันในเด็กเล็ก ซึ่งได้ผลดีเกินคาด และได้รับการรองรับจากทันตแพทย์ทั่วโลกว่า เหมาะสมสำหรับเด็ก ลบความเชื่อผิดๆที่ว่าเด็กเล็กไม่ควรจัดฟันได้อย่างสิ้นเชิงซึ่งก็ได้นำนวัตกรรมล้ำสมัยนี้มาใช้ กับเด็กเล้กที่มีอาการผิดปกติทางด้านโครงสร้างกระดูกขากรรไกรที่เป็นต้นเหตุหลักทำให้ใบหน้าผิดรูป รวมถึงการสบฟันผิดปกติในเด็กเล็ก ไม่เว้นแม้แต่พฤติกรรมที่ทำให้เด็กมีปัญหาเรื่องสุขภาพช่องปากในอนาคตอีกด้วยแต่ก็ต้องขอบอกก่อนว่าเด็กเล็กๆ มักจะมีการต่อต้าน อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line มากพอสมควร ซึ่งอยากให้ผู้ปกครองอย่าถอดใจและทำความเข้าใจในพฤติกรรม และแข็งใจให้บุตรหลานของท่านใส่ให้ได้ โดยรายละเอียดวิธีการใช้และแก้ปัญหามีดังต่อไปนี้
 
กฎสำคัญในการใส่ EF Line ในเด็กเล็ก

– สิ่งสำคัญที่สุดในการให้บุตรหลานของท่านใส่ EF Line คือ บุตรหลานของท่านต้องมีอายุ 4 ปี ขึ้นไป แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในอุปกรณืชิ้นนี้คือใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำหว่า 14 ปี
– ก่อนที่จะทำการใช้ อุปกรณ์ทันตกรรม EF Line ควรได้รับการวินิจฉัยจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อมาใส่เอง เพราะ อุปกรณ์ EF Line จะถูกผลิตขึ้นมาใหม่ทุกครั้งเพื่อรับกับช่องปากและฟันของคนนั้นเท่านั้น และจะมีการวางรูปแบบในระยะยาว จึงไม่สามารถหาซื้อมาใส่เองหรือทำกับผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาในด้านนี้เฉพาะได้
– ในขณะที่ใช้อุปกรณ์ EF Line จะต้องอยู่ในการดูแลของทันตแพทย์อย่างใกล้ชิดโดยตลอด มาตามนัดทันตแพทย์ผู้รักษาอย่าให้ขาด เพื่อจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพสูงที่สุดนั่นเอง


คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ EF Line

ต้องขอบอกเลยว่า เด็กเล็กๆหลายๆคนมีปัญหาในการใส่ EF Line เนื่องจากว่าในขณะที่ทำการใส่แรกๆนั้น จะเกิดความไม่เคยชินเนื่องจากว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในช่องปาก อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในบางตำแหน่ง และอาจจะเกิดบาดแผลเล็กๆได้ ซึ่งหากว่ามีบาดแผลในช่องปากให้ทำการทายาสำหรับช่องปาก ซึ่งอาจจะมีอาการเจ็บบ้างในระยะแรกๆ แต่ไม่นานแผลเหล่านั้น และอาการระคายเคืองจะหมดไปเนื่องจากร่างกายจะปรับตัวตามธรรมชาติ หรือพยายามให้เด็กเล็กที่ใส่อุปกรณ์ EF Line ดื่มน้ำเยอะๆในขณะใส่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นภายในช่องปากก็สามารถลดการระคายเคืองได้ดีเช่นกัน
อีกสิ่งสำคัญที่มักจะทำให้ผู้ปกครองตกใจและให้บุตรหลานเลิกใส่นั่นก็คือ เมื่อทำการใส่ EF Line เด็กเล็กๆจะเริ่มมีอาการอยากอาเจียน บางคนถึงขั้นอาเจียนทุกครั้งเมื่อทำการใส่ ซึ่งถึงจะเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองพยายามแข็งใจบังคับตนเองให้ใส่ EF Line ให้บุตรหลานให้ได้ เพราะ เมื่อใส่ไประยะหนึ่งจะเกิดความเคยชินและก็จะไม่เกิดอาการอยากอาเจียนอีก
หากต้องทำการใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ให้เด็กเล็กๆ ผู้ปกครองควรเชื่อฟันคำแนะนำจากทันตแพทย์ ใจแข็ง ให้นึกไว้เสมอว่าหากไม่ให้บุตรหลานใส่อนาคตอาจจะต้องเสียใจเพราะบุตรหลานของท่านอาจมีฟันและโครงหน้าที่ผิดปกติและจะทำให้เกิดการรักษายากขึ้นมากตามอายุนั่นเอง
 
วิธีใส่ EF Line ที่ถูกต้อง

– กลางวัน
การใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ในช่วงเวลากลางวัน หรือตอนตื่นนอน ควรเลือกเวลาให้ใส่ติดปากห้ามถอดออกเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่ใส่นี้ผู้ปกครองควรสังเกตพยายามให้บุตรหลานอยู่นิ่งๆ ไม่เอานิ้วเข้าปาก ไม่เคี้ยวอุปกรณ์เล่น ปิดปากให้สนิทไม่พูดคุยในขณะที่ทำการใส่อยู่เพื่อเป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบปาก
– กลางคืน
ในเวลากลางคืนนี้ถือได้ว่าไม่ยุ่งยาก เนื่องจากว่าให้ใส่ก่อนจะเข้านอน โดยต้องทำการใส่ติดปากห้ามถอดในขณะนอนหลับ เป็นระยะเวลา 10 ชั่วโมง
 
ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องที่ควรรู้ในการให้บุตรหลานหรือเด็กเล็กๆใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line โดยผู้ปกครองจะต้องใจแข็งและตั้งใจไปกับบุตรหลานของท่านด้วย เพียงเท่านี้อาการผิดปกติในช่องปากต่างๆก็จะกลับมาเป็นปกติอันรวดเร็วตามระเบียบของเด็กและผู้ปกครองด้วย

15
บริการทำความสะอาด: ทำความสะอาดห้องน้ำให้ปิ๊ง แบบเจาะลึกทุกขั้นตอน

วิธีทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาดน่าใช้ไปทุกตารางนิ้วเจาะลึกทุกขั้นตอนทำความสะอาดห้องน้ำที่ต้องให้สิบคะแนนเต็ม
ลองมาทำความสะอาดห้องน้ำตามนี้เพื่อพิสูจน์ความเก๋ากันค่ะ

เคยไหมคะที่ยอมทนอั้นปัสสาวะจนแทบจะเป็นนิ่วในนาทีนั้น เพียงเพราะรับไม่ได้กับสภาพห้องน้ำที่สกปรกสุด ๆ
แถมยังส่งกลิ่นเหม็นตุออกมาไม่หยุดหย่อน เจอสภาพห้องน้ำแบบนี้เข้าไปเป็นใครก็คงส่ายหน้าหนีกันหมดล่ะเนอะยิ่งถ้าเป็นห้องน้ำในบ้านแล้วแขกมาเจอสภาพห้องน้ำที่สกปรกสุดยี้เข้าละก็งานนี้คงได้ขายหน้ากันทั้งบ้านแน่ ๆ

เอาล่ะ ! ถ้าอย่างนั้นมาทำความสะอาดห้องน้ำด้วยเคล็ดลับแบบเจาะลึกทุกขั้นตอนดีกว่ารับรองว่าไม่มีพื้นที่ในห้องน้ำหลุดรอดหนีความสะอาดไปได้สักตารางนิ้วชัวร์

 1. นำผ้าเช็ดเท้าไปซัก

ผ้าเช็ดเท้าที่วางอยู่หน้าห้องน้ำ รวมทั้งผ้าเช็ดมือ และผ้าม่านที่ประดับอยู่คงสะสมเชื้อโรคและฝุ่นไรจำนวนไม่น้อย ดังนั้นก่อนจัดการล้างห้องน้ำควรปลดม่าน ผ้าเช็ดมือ และนำผ้าเช็ดเท้าไปซักทำความสะอาดให้เรียบร้อยด้วย

 2. ย้ายทุกไอเทมออกมาจากห้องน้ำ

ขั้นต่อมาให้ย้ายของทุกอย่างออกจากห้องน้ำให้หมดทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายและของตกแต่งกระจุกกระจิกรวมไปถึงการตกแต่งบางอย่างที่สามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้ก็ต้องเก็บไม่ให้เหลือสักชิ้นเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้โล่งที่สุดก่อนจัดการทำความสะอาดนะจ๊ะ

 3. ละเลงน้ำยาทำความสะอาดในโถสุขภัณฑ์

จัดการราดน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำลงในโถส้วมให้ทั่วถึงอย่าลืมเปิดพัดลมดูดอากาศหรืออย่างน้อยก็ต้องเปิดประตูและหน้าต่างห้องน้ำเพื่อระบายอากาศและปิดฝาชักโครกด้วย ทว่าหากใครไม่อยากเสี่ยงกับสารเคมีอันตรายจะลองผสมผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำส้มสายชูและน้ำเปล่าในอัตราส่วน 75/25ก็ทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ได้เจ๋งแจ๋วไม่แพ้น้ำยาความสะอาดเลย

 4. ปัดหยากไย่ ไล่ฝุ่น

ความสะอาดของห้องน้ำไม่ได้เปล่งประกายจากพื้นห้องน้ำหรือสุขภัณฑ์ต่าง ๆ เท่านั้นแต่ฝ้าเพดานและผนังห้องน้ำก็มองข้ามไม่ได้เลยดังนั้นเรามาใช้ไม้กวาดหยากไย่ไล่กวาดไปตามฝ้าเพดานให้ทั่วโดยไล่กวาดตั้งแต่ด้านบนลงมาด้านล่างกันเถอะ

 5. ขัดกระจกและผนังห้อง

ถัดจากฝ้าเพดานแล้วก็มาต่อด้วยกระจกห้องน้ำ โดยเช็ดกระจกด้วยน้ำยาเช็ดกระจกกับกระดาษหนังสือพิมพ์ส่วนผนังก็ถูด้วยแปรงขัด แต่หากเป็นผนังที่ติดวอลเปเปอร์ให้หุ้มแปรงขัดด้วยผ้าชุบน้ำผืนหนา แล้วค่อยเช็ดถูผนังให้สะอาดสำหรับคราบหนักควรใช้น้ำยาความสะอาดร่วมด้วยนะ

 6. ล้างอ่างและบริเวณเคาน์เตอร์

ผสมน้ำสบู่กับน้ำอุ่นแล้วใช้แปรงสีฟันอันเก่ามาขัดตามซอกกระเบื้องบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้ารวมทั้งพื้นที่แคบตรงอ่างล้างหน้าและก๊อกน้ำด้วย แต่หากคราบสกปรกฝังแน่นอาจต้องใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำส้มสายชูให้พอเป็นเนื้อข้นเหนียวมาป้ายคราบสกปรกทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นค่อยใช้แปรงสีฟันขัดอีกครั้งแต่สำหรับพื้นที่ของอ่างล้างหน้าและกระเบื้องเคาน์เตอร์สามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดและฟองน้ำขัดถูได้เลย

 7. ทำความสะอาดด้านนอกโถสุขภัณฑ์

เริ่มจากฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อหรือน้ำยาขจัดคราบอเนกประสงค์ลงไปให้ทั่วบริเวณด้านอนโถสุขภัณฑ์แล้วใช้ฟองน้ำบิดหมาดถูทำความสะอาดโดยรอบ ตามด้วยล้างด้วยน้ำสะอาดให้เรียบร้อย

 8. ขัดโถสุขภัณฑ์

หลังจากจัดการด้านนอกโถไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ถึงตาด้านในโถสุขภัณฑ์ที่เราเทน้ำยาล้างห้องน้ำทิ้งไว้แล้วล่ะค่ะโดยอุปกรณ์เสริมสำหรับขั้นตอนนี้สามารถเลือกเป็นแปรงขัดมีด้ามยาวแบบปกติก็ได้เสร็จแล้วก็กดชักโครกชำระคราบน้ำยาอีกที

 9. จัดการพื้นห้องน้ำ

พื้นที่ส่วนอื่น ๆ ในห้องน้ำสะอาดปิ๊งหมดจด คงเหลือแต่พื้นห้องน้ำที่ยังเขรอะอยู่ดังนั้นงานต่อมาก็ต้องขัดพื้นห้องน้ำให้แจ่มสักที ซึ่งหากคุณใช้น้ำยาล้างห้องน้ำควรเทน้ำยาทิ้งไว้สัก 10 นาทีก่อนขัด หรือหากใช้น้ำยาฆ่าเชื้อล้างห้องน้ำควรราดน้ำยาทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีก่อนลงมือขัด และในส่วนร่องกระเบื้องที่สะสมคราบสกปรกไว้มากต้องเจอกับแปรงสีฟันด้ามเก่ากับน้ำยาฟอกขาวสักหน่อย

 10. โละของเก่าทิ้ง จัดของยังใช้เข้าที่ให้เรียบร้อย

หลังจากทำความสะอาดพื้นห้องน้ำเสร็จแล้ว ควรจะใช้ม็อบหรือฟองน้ำซับน้ำออกอีกทีพร้อมทั้งเปิดพัดลมดูดอากาศไว้เพื่อป้องกันความชื้น จากนั้นก็มาคัดของที่เราย้ายออกมาจากห้องน้ำต่อโดยเลือกเอาแค่เฉพาะของที่ยังใช้งานอยู่ไปวางเก้บเข้าที่ ส่วนบรรดาแปรงสีฟันอันเก่าซากหลอดยาสีฟันที่ใช้หมดแล้ว รวมทั้งหลอดโฟมล้างหน้าเบาโหวงก็จัดการโยนทิ้งขยะซะแต่ก่อนจะนำของใช้ไปวางเข้าที่ อย่าลืมล้างน้ำให้หายมอมแมมด้วยนะคะ

หลังจากเคลียร์ห้องน้ำจนสะอาดหมดจดแล้ว ก็อย่าลืมรักษาความสะอาดห้องน้ำอยู่เสมอด้วยล่ะ โดยเฉพาะเมื่ออาบน้ำเสร็จก็ควรใช้ม็อบถูพื้นห้องน้ำให้แห้ง เปิดพัดลมดูดอากาศทิ้งไว้สักพักพร้อมกันนั้นม่านกั้นห้องน้ำหรือผนังห้องน้ำที่เปื้อนคราบสบู่ก็ควรฉีดน้ำล้างให้หมดจดด้วย

หน้า: [1] 2 3 ... 24